ผู้บริโภคที่นิยมสั่งซื้อของผ่านแอมะซอน (Amazon) จำนวนไม่น้อยเริ่มกังวลเกี่ยวกับความวุ่นวายในการใช้บริการอี-คอมเมิร์ซ ยอดนิยมแห่งนี้ หลังมีเกิดกรณีเตรียมระงับการรับชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิตวีซ่า (Visa) ที่ออกในอังกฤษ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันเรื่องค่าธรรมเนียมได้ ตามรายงานของสำนักข่าว เอพี
แอมะซอน ออกคำแถลงเกี่ยวกับนโยบายด้านการชำระค่าสินค้าใหม่นี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมหน้าเป็นต้นไป เนื่องจาก “ค่าธรรมเนียมของบัตรวีซ่าสำหรับการเดินรายการบัตรที่แพง”
คำประกาศของผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซชั้นนำของโลกรายนี้ เป็นการเดินหน้านโยบายแข็งกร้าวต่อผู้ให้บริการด้านการชำระเงินรอบใหม่ หลังประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 0.5% สำหรับลูกค้าในสิงคโปร์และออสเตรเลีย ที่ใช้บัตรเครดิตวีซ่าชำระค่าสินค้าตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นมา
ลอรา ฮอย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก Hargreaves Lansdown ให้ความเห็นว่า เพราะ แอมะซอน และ วีซ่า นั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกโลก การออกมาปะทะกันด้วยเรื่องค่าธรรมเนียมเช่นนี้ก็กลายมาเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในอุตสาหกรรมบริการชำระเงินไปโดยปริยาย
ฮอย กล่าวว่า ที่ผ่านมา วีซ่า สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเท่าใดก็ได้ตามที่ตนเห็นสมควร เพราะความได้เปรียบที่มีฐานลูกค้าผู้ใช้งานบัตรขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ค้าที่ปฏิเสธไม่รับบัตรวีซ่าต้องเสียโอกาสรับลูกค้าเป็นจำนวนมาก ขณะที่ แอมะซอน หวังว่า ที่จะหยุดวงจรที่เอื้อประโยชน์และความได้เปรียบของ วีซ่า ด้วยการเริ่มปฏิเสธการรับบัตรในอังกฤษ โดยบริษัทค้าปลีกออนไลน์สัญชาติอเมริกันแห่งนี้ก็น่าจะเป็นผู้ค้ารายเดียวที่กล้าทำเช่นนั้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Nilson Report ซึ่งจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการบริการชำระเงินระบุว่า วีซ่า นั้นมีสัดส่วนลูกค้าในตลาดยุโรปสูงถึงราว 58% ขณะที่คู่แข่งอย่าง มาสเตอร์การ์ด (MasterCard) ถือส่วนแบ่งการตลาดที่ 41% ตามมาด้วย อเมริกันเอ็กซ์เพรส (American Express) ที่ 1%
ส่วนในสหรัฐฯ นั้น โฆษกของ แอมะซอน เปิดเผยว่า ทางบริษัทอาจจะยุติการให้ วีซ่า เป็นผู้ร่วมให้บริการกับบัตรเครดิต ไพรม์ (Prime) ของตนในอนาคต โดยทางทีมงานกำลังหารือกับ มาสเตอร์การ์ด และ อเมริกันเอ็กซ์เพรส เกี่ยวกับแผนงานออกบัตรเครดิตร่วมกันอยู่
(ที่มา: สำนักข่าว เอพี)