นายทหารระดับสูงของสหรัฐฯ เตือน จีนมุ่งหน้าพัฒนากองทัพและอาจแซงหน้าสหรัฐฯ และเรียกร้องให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรเร่งรับมือกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น
เมื่อวันพฤหัสบดี พลเอกจอห์น ไฮเทน รองประธานของคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ และเป็นเจ้าหน้าที่กองทัพที่อาวุโสสูงสุดเป็นลำดับสองของสหรัฐฯ กล่าวว่า กองทัพจีนพัฒนาอย่างรวดเร็วและจะแซงหน้ารัสเซียและสหรัฐฯ หากทางสหรัฐฯ ไม่ลงมือทำอะไร
ท่าทีของพลเอกไฮเทนมีขึ้นหนึ่งวันหลังพลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานของคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ยืนยันว่า จีนทดสอบระบบอาวุธความเร็วเหนือเสียงเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยส่งเครื่องร่อนที่บินเร็วกว่าเสียงห้าเท่าไปรอบโลก
เมื่อวันพุธ พลเอกมิลลีย์กล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก ว่า การทดสอบอาวุธของจีนเป็นเรื่องที่ “น่ากังวลอย่างยิ่ง” โดยเขาเปรียบเทียบการทดสอบครั้งนี้ว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่รัสเซียปล่อยดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นสู่วงโคจรเมื่อทศวรรษที่ 1950 และเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันทางอวกาศระหว่างประเทศในอีกหลายสิบปีต่อมา
พลเอกมิลลีย์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทดสอบของจีนครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อมูลลับ แต่เขาระบุว่า การทดสอบครั้งนี้แสดงว่าจีนต้องการส่งสัญญาณบางอย่าง และการสร้างอาวุธของจีนนั้นพุ่งเป้ามาที่สหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ต้องวางแผนรับมือ
พลเอกไฮเทนยังคงมั่นใจว่า โครงการอาวุธความเร็วเหนือเสียงของสหรัฐฯ ในปัจจุบันยังคงล้ำหน้ากว่าจีน แต่เขาก็กังวลว่าอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยในช่วงอย่างน้อยห้าปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ทดสอบอาวุธเหนือเสียงเก้าครั้ง ในขณะที่จีนทดสอบไปแล้วหลายร้อยครั้ง
รองประธานของคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ยังย้ำด้วยว่า สหรัฐฯ ต้องเร่งรับมือกับอาวุธความเร็วเหนือเสียงจากจีนและรัสเซียให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างเครื่องตรวจจับอาวุธดังกล่าวที่สหรัฐฯ ยังไม่มี
เขาระบุว่า สหรัฐฯ อาจร่วมมือกับชาติพันธมิตรเพื่อสร้างเครือข่ายระบบภาคพื้นดินและภาคอวกาศเพื่อติดตามอาวุธที่มีความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเครือข่ายดังกล่าวต้องใช้เวลาและอาจเผชิญความติดขัดจากระบบราชการในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ทำให้โครงการสำคัญต่างๆ ล่าช้าลง
พลเอกไฮเทนกล่าวว่า อีกวิธีหนึ่งในการรับมืออาวุธความเร็วเหนือเสียงคือการใช้เลเซอร์ที่มีความเร็วเท่าเสียงและถูกพัฒนาจนรับมือภัยคุกคามขีปนาวุธได้ และสหรัฐฯ ต้องลงทุนในด้านนี้ให้มากขึ้น
เขาระบุว่า แม้สหรัฐฯ จะกังวลถึงกองทัพจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รัสเซียยังคงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในขณะนี้ เนื่องจากรัสเซียมีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมใช้ราว 1,500 หน่วย ในขณะที่จีนมีอาวุธนิวเคลียร์เพียง 20 เปอร์เซ็นต์เมือเทียบกับรัสเซีย
นอกจากนี้ รัสเซียยังมีอาวุธความเร็วเหนือเสียงพร้อมนิวเคลียร์อยู่แล้ว และยังคงทดลองอาวุธเหนือเสียงต่อไป แม้จะไม่รุดหน้าเร็วเท่าจีนก็ตาม