เมื่อวันจันทร์ กระทรวงการคลังของจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าจากสหรัฐมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอัตรา 5 - 25% โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนตามเวลาของจีนเป็นต้นไป และมีผลกับสินค้าออกของสหรัฐ 5,140 รายการ
รัฐบาลกรุงปักกิ่งระบุว่า การตัดสินใจเรื่องนี้เป็นการตอบโต้การปกป้องผลประโยชน์ด้านการค้าและการปฏิบัติแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐ
กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงด้วยว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันของต่างชาติ และว่าปักกิ่งมีความมุ่งมั่นและมีความสามารถที่จะปกป้องสิทธิกับผลประโยชน์อันชอบธรรมของตน แต่ก็หวังว่าสหรัฐกับจีนจะสามารถพบกันได้ครึ่งทางเพื่อทำความตกลง
การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐโดยรัฐบาลกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งยังขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ด้วย
การตัดสินใจตอบโต้ของจีนนี้มีขึ้นในช่วงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความขอให้จีนไม่ตอบโต้สหรัฐ โดยอ้างว่าจีนได้ฉกฉวยประโยชน์จากสหรัฐมานานหลายปีแล้ว และประธานาธิบดีสหรัฐก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเท่าที่ควร
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเตือนด้วยว่า จีนไม่ควรตอบโต้สหรัฐเพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
และขณะที่ผู้นำสหรัฐอ้างว่าไม่มีเหตุผลใดที่ผู้บริโภคอเมริกันจะต้องแบกรับภาระจากการขึ้นภาษีกับจีนนี้ นายลาร์รี่ คัดโลว์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวได้ยอมรับว่า ทั้งสองฝ่ายจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ และว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเกษตรกรอเมริกันผู้ขายถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลีให้กับจีน
ที่ผ่านมา สหรัฐอ้างว่าจีนขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ และบังคับให้บริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในจีนต้องเปิดเผยความลับทางการค้า ทั้งยังระบุว่ารัฐบาลปักกิ่งให้เงินอุดหนุนบริษัทของจีน ทำให้จีนได้เปรียบด้านการค้าอย่างไม่เป็นธรรมด้วย
เมื่อวันเสาร์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเป็นนัยว่า จีนอาจต้องการรอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้าเพื่อดูว่าตนจะชนะเลือกตั้งอีกครั้งหรือไม่ แต่ก็เสริมว่า หากรัฐบาลกรุงปักกิ่งตัดสินใจทำเช่นนั้น จีนจะได้รับความเสียหายมากขึ้นในช่วงสี่ปีหลังที่ตนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง