ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เรียกร้องให้กองทัพยกระดับการวางแผนการรบและการทำสงคราม เพื่อเพิ่มโอกาสมีชัยในการต่อสู้จริงในสนามรบ ตามการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่อ้างข้อมูลจากสื่อซินหัวของจีน
ปธน.สี ออกมาเรียกร้องฝ่ายทหารของประเทศให้เร่งดำเนินการดังกล่าวในวันพฤหัสบดี โดยหลายฝ่ายมองว่า เป็นความต้องการของผู้นำจีนที่ต้องการทำให้มั่นใจว่า กองทัพนั้นจะช่วยปกป้องอธิปไตยและดินแดนของจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง
สำนักข่าวซินหัวระบุว่า ปธน.สี กล่าวว่า โลกนั้นได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ และสถานการณ์ด้านความมั่นคงของจีนก็เริ่มสั่นคลอนและเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น โดยคำกล่าวนี้มีออกมาระหว่างเดินทางตรวจการณ์กองบัญชาการภาคตะวันออก (Eastern Theater Command) ในมณฑลเจียงซู ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบความมั่นคงทางภาคตะวันออกของจีน อันรวมถึงพื้นที่ทะเลจีนตะวันออกและช่องแคบไต้หวันด้วย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผู้นำจีนให้ความเห็นหลังประสบความสำเร็จในการรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อนได้ ว่า จีนควรยกระดับความสามารถในการป้องกันความมั่นคงแห่งชาติและทำให้กองทัพของประเทศกลายมาเป็นเหมือน “กำแพงเมือง[จีน]ที่ทำด้วยเหล็กกล้า”
ในกรณีของไต้หวันที่จีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของตนมาโดยตลอด ปธน.สี กล่าวในครั้งนั้นว่า กรุงปักกิ่งต้องเดินหน้าคัดค้านการเคลื่อนไหวสนับสนุนการประกาศอิสรภาพและการแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย รวมทั้ง ความพยายามแทรกแซงจากภายด้วย
สำหรับประเด็นนี้ จีนเฝ้าเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ไม่ทำงานมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำไต้หวัน เพราะนั่นจะเป็นเหมือนการสนับสนุนไทเปให้แยกตัวออกจากจีน ขณะที่ กรุงปักกิ่งก็ไม่เคยเลิกส่งสัญญาณขู่ความพร้อมการใช้กำลังทหารเพื่อควบคุมไต้หวัน หลังผ่านกฎหมายออกมาเมื่อปี ค.ศ. 2005 ที่ให้อำนาจรัฐบาลอ้างหลักกฎหมายเพื่อสั่งการทางทหารในการจัดการกับไต้หวัน ถ้าพิจารณาเห็นสมควร
ซินหัวรายงานว่า ปธน.สี กล่าวต่อเจ้าหน้าที่ของกองบัญชาการภาคตะวันออก ด้วยว่า “เราต้องยืนกรานความคิดและการจัดการด้านทหารจากมุมมองของการเมือง และต้องกล้าที่จะสู้ สู้ให้เก่งขึ้น และปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านพัฒนาการของประเทศอย่างเด็ดเดี่ยว”
ทั้งนี้ การเรียกร้องทหารให้ยกระดับความพร้อมความสามารถนี้มีออกมาก่อนที่ แจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กำลังจะเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อหารือวิธีลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศในเร็ว ๆ นี้
- ที่มา: รอยเตอร์
