ผู้นำจีนกังวลมานานแล้วว่าประเทศของตนต้องพึ่งพาต่างประเทศมากไปในแทบทุกเรื่อง นับตั้งแต่เวชภัณฑ์ ไมโครชิพ จนถึงอากาศยาน ดังนั้นรัฐบาลปักกิ่งจึงจัดทำนโยบาย Made in China 2025 ขึ้นรวมทั้งให้เงินอุดหนุนและสร้างสิ่งจูงใจต่างๆ เช่นการจัดหาที่ดินราคาถูกและการกำหนดให้ธุรกิจต้องซื้อสินค้าจากแหล่งในประเทศเพื่อกระตุ้นการสร้างอุตสาหกรรมที่จำเป็นขึ้นมา และตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คืออุปกรณ์ป้องกันและเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นจากการระบาดของโรคโควิด-19
ในช่วงก่อนการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นจีนเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่สำหรับเครื่องช่วยหายใจและหน้ากากที่ใช้ทางการแพทย์รวมทั้งชุดป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่การระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้จีนมีบทบาทสำคัญมากขึ้นใน supply chain ของโลก
ตัวอย่างเช่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์จีนเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากขึ้นเกือบ 12 เท่าตัวและขณะนี้สามารถผลิตเส้นใยพิเศษเพื่อใช้ทำหน้ากากป้องกันการติดเชื้อได้ถึงวันละ 150 ตัน โดยบริษัทที่ปรึกษาและวิจัย Bob McIlvain ในสหรัฐชี้ว่ากำลังการผลิตของจีนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นห้าเท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดใหญ่และมากกว่ากำลังการผลิตในสหรัฐถึง 15 เท่า ตัวเลขของทางการจีนระบุด้วยว่าเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมจีนส่งออกหน้ากากป้องกันการติดเชื้อถึงกว่า 70 ล้านชิ้นเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตทั่วโลกของปีที่แล้วทั้งปีคือ 20 ล้านชิ้น
กำลังการผลิตของจีนและการครอบงำห่วงโซ่อุปทานของโลกในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเพราะเมื่อ 15 ปีที่แล้วหลังการระบาดของโรค SARS ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศจีน 350 คนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนได้ประกาศเรื่องการพัฒนาเครื่องช่วยหายใจซึ่งใช้ได้ดีและเหมาะกับใบหน้าของคนจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วแผนพัฒนาเศรษฐกิจห้าปีของจีนก็กำหนดให้มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาอุปกรณ์พื้นฐานและวัสดุทางการแพทย์ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างสูงและมีประโยชน์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางเพื่อทดแทนการนำเข้าด้วย
โดยขณะที่ในสหรัฐมีคำขวัญ Make America Great Again นั้นจีนก็มีนโยบายพัฒนาอุตสากรรม Made in China 2025 ที่มุ่งใช้เงินลงทุน 3 แสนล้านดอลลาร์เพื่อผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้าในภาคอุตสากรรมที่สำคัญ และให้เงินอุดหนุนบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมทั้งยังตั้งเป้าให้ผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวในประเทศมีส่วนแบ่งตลาด 30 ถึง 40% จากการกำหนดให้ธุรกิจและโรงพยาบาลต้องซื้อจากแหล่งผลิตในประเทศก่อนด้วย
บทบาทของรัฐบาลจีนในการสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญโดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการวางกรอบนโยบายและให้เงินอุดหนุนรวมทั้งช่วยจัดหาที่ดินราคาถูกเท่านั้น แต่รัฐวิสาหกิจของจีนเช่นบริษัทน้ำมัน Sinopec ยังร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อเร่งสร้างโรงงานแห่งหนึ่งในเวลาเพียงแค่ 35 วันแทนที่จะใช้เวลาหนึ่งปี โดยโรงงานดังกล่าวมุ่งการวิจัยและผลิตเส้นใยพิเศษที่สามารถสกัดจับอนุภาคของเชื้อโรคขนาดเล็กและนำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาผลิตหน้ากากป้องกันการติดเชื้อรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจตามที่ต้องการ
นโยบายของรัฐบาลจีนเพื่อเร่งสร้างขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้ทำให้มีบริษัทต่างๆ กว่า 67,000 แห่งตั้งขึ้นในปีนี้เฉพาะเพื่อผลิตหน้ากากเท่านั้น และถึงแม้หลายบริษัทจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมคุณภาพและคาดว่าจะมีหลายบริษัทที่อาจไปไม่รอดก็ตาม
คุณโฮวาร์ด ยู ผู้สอนวิชานวัตกรรมและการจัดการที่สถาบันพัฒนาการบริหารในสวิตเซอร์แลนด์ชี้ว่านโยบายช่วยโอบอุ้มของรัฐบาลจีนได้ช่วยสร้างหลักประกันให้กับอุตสาหกรรมเกิดใหม่ซึ่งต้องแข่งขันอย่างสูงกับต่างประเทศ เพราะเชื่อได้ว่าหลังจากที่โรคระบาดใหญ่ครั้งนี้ผ่านไปแล้วจะต้องมีการปรับตัวอย่างสูงและมีการควบรวมกิจการในห่วงโซ่อุปทานของโลกอย่างแน่นอน
สำหรับในสหรัฐเอง ราเกซ ทัมมาบัตตุลา เป็นผู้ประกอบการรายหนึ่งในนครลอสแองเจลีสที่ต้องการปรับธุรกิจของตนจากการทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและโลชั่นบำรุงผิวเป็นการผลิตหน้ากากและเจลล้างมือแทน แต่เขาได้พบว่าเครื่องจักรสำคัญสำหรับกระบวนการผลิตดังกล่าวต้องนำเข้าจากประเทศจีนเท่านั้นและขณะนี้ไม่มีโรงงานใดในสหรัฐเลยที่ผลิตขวดบรรจุพลาสติกพร้อมหัวปั๊มอีกต่อไป
นอกจากนั้นกระบวนการขอรับเงินกู้จากรัฐบาลสำหรับธุรกิจขนาดย่อยยังเต็มไปด้วยงานเอกสารมากมายและล่าช้าและขณะที่ธุรกิจในสหรัฐไม่มีหลักประกันเรื่องความอยู่รอดจากความผันผวนไม่แน่นอนของตลาดหลังช่วงการระบาดใหญ่นั้น เขากล่าวว่าเห็นได้ชัดว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความพยายามของจีนแล้วสหรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องอุปกรณ์ของใช้ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ