ผู้นำจีนและไต้หวันแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่ามกลางความคลุมเครือว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะมีทิศทางอย่างไรกับความขัดแย้งในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนเผยแพร่คำแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ขอให้จีนและสหรัฐฯ หาแนวทางที่เหมาะสมในการสานสัมพันธ์กันในยุคใหม่ เพื่อประโยชน์ของ ‘ทั้งสองประเทศในโลก’
ปธน. สี หวังว่ากรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตันจะ “ยึดถือในหลักความเคารพซึ่งกันและกัน การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายชนะร่วมกัน เสริมสร้างการหารือและสื่อสาร จัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม และขยายความร่วมมือ
อีกด้านหนึ่ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำรัฐบาลไต้หวัน ระบุในแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่า มีความมั่นใจ ว่า “ความเป็นหุ้นส่วนยาวนานของสหรัฐฯ-ไต้หวัน ซึ่งสร้างขึ้นบนค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน จะยังเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับสเถียรภาพของภูมิภาค และนำไปสู่ความรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้น”
ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ของจีนคาดการณ์กันว่าทรัมป์จะใช้นโยบายกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนมากขึ้น แต่ก็มีความเห็นที่ต่างกันไปว่าสงครามการค้าจะมีผลต่อเศรษฐกิจจีนอย่างไร
ในขณะที่ชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งกังวลว่าสหรัฐฯ จะลดการสนับสนุนไต้หวันในรัฐบาลชุดหน้า สืบเนื่องจากความเห็นที่ทรัมป์ให้ไว้กับสื่อบลูมเบิร์กนิวส์วีคเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่พูดว่ารัฐบาลไทเปควรจ่ายเงินให้กับการคุ้มครองจากสหรัฐฯ โดยเปรียบเปรยเรื่องนี้กับบริการประกันภัย
ลิเดีย หยาง อาชีพนักการตลาดวัย 35 ปีจากไทเป กล่าวกับวีโอเอว่า “ดูจากความเห็นของเขา (ทรัมป์) ฉันกังวลว่าสหรัฐฯ จะไม่สนับสนุนไต้หวันมากนักถ้าเราต้องการสร้างเสถียรภาพในความสัมพันธ์กับจีน”
นอกจากพูดถึงการคุ้มครองไต้หวันแล้ว ทรัมป์ยังกล่าวหาไต้หวันว่าขโมยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ และขู่ว่าจะบังคับใช้กำแพงภาษีกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันด้วย
ในการสัมภาษณ์กับโจ โรแกน นักจัดพอดแคสต์ชื่อดังเมื่อ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ระบุว่า “เราเสนอเป็นพันล้านดอลลาร์ให้บริษัทรวย ๆ ให้เข้ามาและยืมเงิน และสร้างบริษัทชิปที่นี่ พวกเขาจะไม่ส่งบริษัทดี ๆ มาให้อยู่แล้วอยู่ดี”
ไล่ หมิงเว่ย วิศวกรชาวไต้หวันอายุ 44 ปี กล่าวถึงจุดยืนของทรัมป์ด้วยความกังวลว่า “หากว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ โดยตรง ผมก็กังวลเกี่ยวกับท่าทีของเขา”
ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังไม่ตอบคำขอความเห็นของวีโอเอในประเด็นนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันของทรัมป์
ทางการไต้หวันพยายามสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าความสัมพันธ์ระหว่างกรุงไทเปและกรุงวอชิงตันจะไม่เปลี่ยนไปในรัฐบาลทรัมป์ 2.0
ไซ่ หมิงเยน อธิบดีสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน เชื่อว่า “สหรัฐฯ จะยังดำรงแนวทางปัจจุบันในการควบคุมจีนและเป็นมิตรกับไต้หวัน”
เลฟ แนชแมน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน กล่าวว่า “เราไม่รู้ว่าจะเห็นทรัมป์ในเวอร์ชั่นไหน และความไม่แน่นอนนี้ไม่ได้นำมาซึ่งเสถียรภาพและการคาดการณ์สถานการณ์ได้ในช่องแคบไต้หวัน”
เฉิน ฟางหยู นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซู่โจวในไต้หวัน กล่าวกับวีโอเอว่า “ไต้หวันต้องมีอะไรที่ชัดเจน เช่นเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพราะหากไต้หวันไม่ทำเช่นนั้น ทรัมป์อาจคิดว่าไต้หวันไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวดีกับไต้หวันมากนัก”
เมื่อวันอังคาร เวลลิงตัน คู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไต้หวัน กล่าวว่ารัฐบาลไทเปต้องแสดงความมุ่งมั่นในการป้องกันตนเอง ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ตาม
เขากล่าวว่า “เราต้องทำให้พวกเขาเข้าใจว่าไต้หวันมีความมุ่งมั่นในการป้องกันตัวเอง และความสำคัญในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการวางตัวทางยุทธศาสตร์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของไต้หวัน”
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากจีน เชื่อว่าการที่ไต้หวันจะร่วมมือทางทหาร และซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มากขึ้น จะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
โจว โบ นักวิชาการจากศูนย์ความมั่นคงระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยซินหัว กล่าวกับวีโอเอว่า การซื้ออาวุธอเมริกันมากขึ้น ไม่ใช่การทำให้จีนเชื่อว่าการรวมชาติอย่างสันติจะยังเป็นไปได้
จา เอียน ชอง นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์มองว่า ในขั้วค่ายของทรัมป์ไม่ได้มีทิศทางนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันไปในทางเดียวกัน แต่ไต้หวันควรเตรียมตัวรับมือความไม่เสมอต้นเสมอปลายของทรัมป์ ที่เขามีแนวโน้ม “วนไปวนมาผ่านเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็วมาก” ในวาระแรก ซึ่งความไม่แน่ไม่นอนนี้อาจเป็นจุดที่รัฐบาลปักกิ่งสามารถฉวยใช้ประโยชน์ได้
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น