จังหวัดทางภาคกลางของเวียดนามบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ระบาดทั่วประเทศในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอพกินส์ ระบุว่า นับจนถึงวันอังคาร เวียดนามมีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน 624,547 คน และผู้เสียชีวิต 15,660 คน
ทั้งชาวต่างชาติและชาวบ้านท้องถิ่นในเวียดนามต่างวิจารณ์มาตรการล็อกดาวน์ว่า ทำให้การขนส่งอาหารและน้ำมีปัญหา เนื่องจากมีการจำกัดรถจักรยานยนต์ที่ให้บริการขนส่งปัจจัยดังกล่าว เมื่อมีการประกาศเตรียมใช้มาตรการล็อกดาวน์ล่วงหน้าสามวัน ทำให้ประชาชนรีบออกมาตุนอาหารตามตลาดในพื้นที่
“คำสั่งที่ 16”
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม รัฐบาลเวียดนามออก “คำสั่งที่ 16” ห้ามประชาชนในเมืองดานังออกจากบ้าน รวมถึงสั่งปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็น ตลอดจนห้ามประชาชนออกจากเมืองดานังหากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ และทำให้การขนส่งอาหารหยุดชะงัก
เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังละแวกต่าง ๆ ในเมืองเพื่อบังคับใช้กฎเคอร์ฟิวและแจกจ่ายแบบฟอร์มให้ประชาชนเพื่อสั่งอาหารและน้ำ โดยหากประชาชนพักอาศัยอยู่ในพื้นที่สีเขียว พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเป็นเวลาสองชั่วโมง แต่ออกไปได้ในพื้นที่ใกล้บ้านเท่านั้น เจ้าหน้าที่บางรายยังมอบอาหารให้ประชาชนฟรี โดยประกอบด้วยผักชนิดต่าง ๆ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ชาวต่างชาติและชาวบ้านแสดงถึงความกังวลต่อสถานการณ์ โดยพวกเขากังวลว่ามาตรการล็อกดาวน์นี้กำลังเป็นไปในลักษณะเดียวกับการล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่นในจีน
ไบรอัน เอ็ดวาร์ด (นามสมมุติ) ชาวอังกฤษรายหนึ่ง ระบุว่า เขาไม่พอใจอย่างมากที่ทางการเวียดนามเหมือนจะไม่มีแผนสนับสนุนอาหารให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงการล็อกดาวน์ เขามีปัญหาด้านระบบหายใจ และไม่ต้องการไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต โดยยังมีชาวบ้านช่วยให้เขารับอาหารต่อไปได้
เมื่อเดือนสิงหาคม ทางการดานังกำหนดพื้นที่แต่ละสีในละแวกต่าง ๆ ตามอัตราการติดเชื้อ มีการจัดตรวจหาเชื้อไวรัสครั้งใหญ่ในพื้นที่ทุกสามวัน อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการตรวจเชื้อไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมในจุดตรวจเชื้อได้ ทำให้ประชาชนกังวลว่าสถานที่ตรวจเชื้ออาจกลับกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัส
สถานการณ์วัคซีนในเวียดนาม
ก่อนหน้านี้ เวียดนามได้รับคำชมอย่างมากในการรับมือโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม การแจกจ่ายวัคซีนอย่างล่าช้าทำให้สถานการณ์ในเวียดนามย่ำแย่ลง โดยหลายฝ่ายเห็นว่า ทางการเวียดนามพึ่งพาวัคซีนที่ได้รับบริจาคมากเกินไป แทนที่จะจัดซื้อวัคซีนด้วยตนเอง
นายเหงียน ตุง (นามสมมุติ) ชาวเวียดนามในเมืองดานัง ระบุว่า ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ต้องการวัคซีน แต่การแจกจ่ายวัคซีนช้าเกินไปในขณะที่ผู้คนได้แต่ทำตามกฎและแทบไม่วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล
นายตุงเห็นว่า รัฐบาลมีปัญหาในการสื่อสารข้อมูลกับประชาชน ในขณะที่มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดอาจดำเนินต่อไปถึงปีหน้า โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์ นายตุงเห็นว่า ทางการเวียดนามจะต้องหยุดมาตรการล็อคดาวน์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเวียดนามดำเนินต่อไป รวมถึงให้ชาวเวียดนามกลับมาดำเนินชีวิตในสังคมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติ
ประชาชนบางส่วนกังวลว่า ทางการเวียดนามอาจแอบเก็บวัคซีนไว้และอาจมีปัญหาการทุจริต โดยมีรายงานข่าวถึงธุรกิจต้มตุ๋นที่เกี่ยวกับวัคซีน เช่น มีผู้ต้องจ่ายเงินมากเกินไปเพื่อรับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนปลอม
ในเดือนกันยายน ชาวเวียดนามวัยผู้ใหญ่ไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้ว และอีก 16.5 เปอร์เซ็นต์ได้รับวัคซีนหนึ่งโดส วัคซีนที่ถูกแจกจ่ายส่วนใหญ่อยู่ในนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารยังลงพื้นที่ในเมืองดังกล่าวเพื่อควบคุมมาตรการล็อกดาวน์
ชาวต่างชาติในเมืองดานังยังเผชิญปัญหาการต่อวีซ่าท่องเที่ยว พวกเขายังมีปัญหาในการเดินทางออกจากเวียดนามเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด และไม่มีเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จนถึงวันอังคาร ผู้ที่ต้องการเดินทางออกจากจังหวัดทางตอนกลางของเวียดนามจะต้องมีตั๋วเครื่องบิน ผลตรวจเชื้อโคโรนาไวรัส และจดหมายอนุญาตจากสถานทูตหรือหน่วยงานตำรวจประจำเมือง
พวกเขายังต้องเช่าบริการรถรับส่งเพื่อไปส่งพวกเขาที่กรุงฮานอยหรือนครโฮจิมินห์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายราว 7.5 ล้านดง หรือราว 10,817 บาท สำหรับการใช้บริการรถรับส่งแบบมีผู้โดยสารร่วม และการเดินทางเที่ยวหนึ่งอาจกินเวลาถึง 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและเวลาที่ใช้ในผ่านด่านตรวจแต่ละจุด
ผู้คนในกลุ่มเฟสบุ๊กต่างโอดครวญว่า นายหน้าออกวีซ่าเรียกเก็บค่าบริการต่อวีซ่าแพงเกินจริง หรือเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองส่วนท้องถิ่นเรียกเก็บค่าปรับแพงเกินจริงสำหรับการอยู่ในเวียดนามเกินกำหนด พวกเขายังวิจารณ์ว่า รัฐบาลขาดการสื่อสารที่ดีกับชาวต่างชาติในเวียดนาม รวมถึงออกกฎระเบียบที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ชาวต่างชาติรายหนึ่งระบุในเฟสบุ๊กว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพยายามหาเงินจากชาวต่างชาติทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่นายมาร์ค วาร์ธ (นามสมมุติ) ชาวออสเตรเลียรายหนึ่งที่ต้องการเดินทางออกจากเวียดนามพร้อมภรรยา ระบุว่า เขาไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
การขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ อาจเป็นเหตุให้ทางการเวียดนามเปิดบริการสายด่วนสำหรับชาวต่างชาติในเมืองดานัง อย่างไรก็ตาม การให้บริการของสายด่วนนี้กลับเป็นไปอย่างล่าช้าหรือไม่มีการตอบสนองใด ๆ เลย
ชาวต่างชาติในเมืองดานังส่วนใหญ่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ การปิดโรงเรียนท้องถิ่นจำนวนมาก รวมถึงการยกเลิกสัญญาจ้างครูชาวต่างชาติกับโรงเรียนออนไลน์ของจีน ทำให้ครูต่างชาติเหล่านี้เผชิญปัญหาทางการเงิน นอกจากนี้ ชาวบ้านท้องถิ่นที่มีฐานะยากจนยิ่งต้องเผชิญปัญหาหนักไปอีกจากเศรษฐกิจเวียดนามที่ชะลอตัวลง
หงา ฮันฮ์ (นามสมมุติ) หญิงชาวเวียดนามที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาในเมืองดานัง ระบุว่า ชาวบ้านท้องถิ่นจำนวนมากอดอยากและไม่มีงานทำมานานแล้ว โดยเธอมีพี่น้องคนหนึ่งที่ทำงานให้กับรัฐบาล เงินเดือนของเขาถูกลดลงมาครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เขาก็เห็นว่าเขายังโชคดีที่มีงานทำ
พี่น้องอีกคนหนึ่งของเธอเป็นพยาบาล และต้องทำงานเข้าเวร 24 ชั่วโมงที่โรงพยาบาลนับตั้งแต่เริ่มมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด และเธอไม่ได้รับค่าทำงานล่วงเวลา
ฮันฮ์กล่าวว่า คนยากจนในเวียดนามเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือตามสมควร