ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) เตรียมออกคำเตือนใหม่ที่แนะนำให้ประชาชนกลับมาสวมใส่หน้ากากป้องกันแม้ขณะอยู่ภายในอาคารอีกครั้ง หลังประกาศยกเลิกคำแนะนำดังกล่าวไปเมื่อ 2 เดือนก่อน
รายงานข่าวที่อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า การปรับเปลี่ยนคำเตือนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดย CDC ในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ
ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่กลับมารุนแรงอีกครั้งนี้มีสาเหตุหลักจากการแพร่กระจายของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยมีรายงานการติดเชื้อของผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วด้วย ซึ่งเรียกกันว่าเป็นกรณี breakthrough infection ที่ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการแพร่เชื้อที่สูงกว่าของไวรัสกลายพันธุ์นี้ เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์อื่น
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยืนยันว่า วัคซีนที่มีการฉีดให้กับประชาชนนั้นมีประสิทธิผลช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสได้ แม้แต่ในกรณีของไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีข่าว CNN เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ทางคณะทำงานได้เริ่มทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสวมใส่หน้ากากแล้ว หลังพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในหมู่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเพิ่มสูงขึ้น โดยข้อมูลจาก CDC ระบุว่า มีพื้นที่ใน 30 รัฐของสหรัฐฯ ที่ประชากรกว่าครึ่งยังฉีดวัคซีนไม่ครบโดส
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา CDC ประกาศว่า ประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากาก หรือรักษาระยะห่าง 6 ฟุต เมื่ออยู่ในที่สาธารณะอีกต่อไป แต่ยังแนะนำให้มีการใส่หน้ากากขณะใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือเมื่ออยู่ในพื้นที่ภายนอกอาคารที่มีคนอยู่หนาแน่น
เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต และผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากการอาการป่วยโควิด-19 ในสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์เริ่มพลิกกลับมารุนแรงอีกครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตามากขึ้น
หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานว่า พื้นที่หลายเมืองทั่วประเทศเริ่มประกาศใช้มาตรการสวมใส่หน้ากากขณะอยู่ภายในอาคารอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ แล้ว อาทิ นครเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย และเมืองโพรวินซ์ทาวน์ รัฐแมสซาชูเซตส์
(ข้อมูลบางส่วนมาจากสำนักข่าว เอพี รอยเตอร์ และเอเอฟพี)
