อังกฤษจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ในวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม ซึ่งมีผู้นำประเทศและสมาชิกราชวงศ์ต่าง ๆ จากทั่วโลกได้รับเชิญเข้าร่วม และคาดว่าจะมีผู้ติดตามชมการถ่ายทอดสดหลายล้านคน
พิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกในรอบ 70 ปีของอังกฤษจะจัดขึ้นที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน สถานที่เดียวกับที่จัดพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่สอง เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
อาร์คบิชอพจัสติน เวลบี ผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษ จะเป็นผู้นำในพิธีบรมราชาภิเษกที่ใช้เวลาราวสองชั่วโมง โดยอาร์คบิชอพจะขอให้ผู้ที่อยู่ในมหาวิหารนี้และผู้ที่ชมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3
ในพระราชพิธีนี้จะมีบิชอพหญิงเข้าร่วมเป็นครั้งแรก รวมทั้งผู้นำศาสนาอื่น ๆ และจะมีการสวดภาวนาและการร้องเพลงสรรเสริญศาสนาในภาษาเวลช์ ภาษาสกอต ภาษาไอริช และภาษาอังกฤษด้วย
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้ถือเป็นภาพสะท้อนของความพยายามของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ในการแสดงให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์ที่มีมานานถึง 1,000 ปีนั้นยังมีความยึดโยงกับประเทศที่มีความหลากหลาย มากกว่าเมื่อครั้งที่พระราชมารดาทรงขึ้นครองราชย์เมื่อ 70 ปีก่อน
ความหรูหราศักดิ์สิทธิ์แบบอังกฤษ
พระราชพิธีนี้จะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรูหราตามธรรมเนียมดั้งเดิมของอังกฤษ คาดว่าจะมีประชาชนหลายแสนคนเฝ้ารอถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ตามเส้นทางพระราชดำเนินจากพระราชวังบักกิงแฮมถึงวิหารเวสต์มินสเตอร์
พระเจ้าชาลส์ซึ่งมีพระชนมายุ 74 พรรษา จะทรงประทับบนพระที่นั่งราชาภิเษกที่ถูกใช้ในพระราชพิธีเดียวกันนี้มานานกว่า 700 ปี พร้อมด้วย "หินแห่งสโคน" หรือ "หินแห่งโชคชะตา" ซึ่งเป็นแท่นหินโบราณที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ทรงนำมาจากสกอตแลนด์เมื่อปี 1296 และถูกนำมาใช้ในพิธีราชาภิเษกตั้งแต่นั้น
โดยส่วนที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจะอยู่ในช่วงที่อาร์คบิชอพแห่งแคนเทอร์เบอร์รีทำการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาจากนครเยรูซาเล็ม ให้กับสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ซึ่งเป็นพิธีปิดด้วยฉากกั้นที่จะไม่มีใครได้เห็น ส่วนไม้กางเขนที่นำมาใช้ในราชพิธีจะรวมถึงเศษไม้ที่เชื่อว่ามาจากไม้กางเขนจริงที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงไว้จนสิ้นพระชนม์ โดยพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นผู้ส่งมอบกางเขนดังกล่าวให้
ริชาร์ด ฟิตซ์วิลเลียมส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์อังกฤษ กล่าวกับวีโอเอว่า รายละเอียดทุกอย่างของพระราชพิธีนี้ล้วนมีนัยทางประวัติศาสตร์และศาสนา
"พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกมีประวัติย้อนไปกว่า 1,000 ปี คือตั้งแต่ปีค.ศ. 973 เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอดการ์ทรงสวมมงกุฏที่เมืองบาธ ส่วนพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกที่วิหารเวสต์มินสเตอร์เท่าที่ทราบนั้นคือปี 1066 ในสมัยพระเจ้าวิลเลียม เดอะ คองเคอเรอร์ หลังจากนั้นมีการปรับเปลี่ยนพิธีไม่มากนักในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา" ฟิตซ์วิลเลียมส์กล่าว
หลังเสร็จพิธีที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลา จะเสด็จพระราชดำเนินด้วยขบวนรถม้าสีทอง (Golden State Coach) ที่ลากด้วยม้าสีเทา 8 ตัว กลับไปยังพระราชวังบักกิงแฮม ท่ามกลางขบวนแถวของประชาชนตลอดเส้นทาง
ความท้าทายของกษัตริย์พระองค์ใหม่
ผลสำรวจความเห็นของประชาชนอังกฤษเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่า 58% ยังคงสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่อายุ 18 - 24 ปี ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ระดับเพียง 32%
ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน ดยุคและดัชเชสส์แห่งซัสเซกซ์ ยังคงปกคลุมราชวงศ์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยใหม่
โรเบิร์ต ฮาร์ดแมน ผู้เขียนหนังสือ Queen of Our Times: The Life of Elizabeth II กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า "ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดต่ออนาคตของราชวงศ์วินเซอร์ ไม่ใช่ฝูงชนบุกเข้าไปในพระราชวังหรือการปฏิวัติ แต่ราชวงศ์ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของประชาชน ดังที่ที่พระราชินีเอลิซาเบ็ธเคยตรัสไว้เสมอว่า 'พวกเขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อพวกเขาเห็นเรา' "
พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนจะได้เฉลิมฉลองไปกับราชวงศ์อังกฤษในยุคใหม่ และยังเป็นหน้าสำคัญในประวัติศาสตร์ซึ่งพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ต้องทรงนำพาสถาบันกษัตริย์เผชิญความท้าทายต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 21 นี้ด้วยเช่นกัน
- ที่มา: วีโอเอ