นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน เผยความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามแผนการถอนอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงการค้าชุดใหม่ เพราะเชื่อว่า อังกฤษจะสามารถอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งอดีตพันธมิตรอันใกล้ชิด
อังกฤษมีเวลาถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้ในการเจรจาข้อตกลงการค้าภายใต้แผนถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ เบร็กซิต (Brexit) เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ดังเช่นที่ได้รับอยู่จากนโยบายตลาดเดียวกับสหภาพยุโรป ซึ่งหมายถึงการซื้อขายแบบไม่มีการกีดขวางทางการค้า
รายงานข่าวระบุว่า นายกฯ จอห์นสัน และ เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป พูดคุยกันทางโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ และตกลงที่จะพยายามเร่งการเจรจาข้อตกลงหลังแผนเบร็กซิตมีผลเต็มรูปแบบในต้นปีหน้า
นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า ตนเชื่อว่าการเจรจานี้น่าจะได้ข้อสรุปได้ แม้ยังมีประเด็นยากๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไข ขณะที่ อียู ควรเข้าใจว่า อังกฤษมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องควบคุมกฎหมายและกฎเกณฑ์ของตนไว้ให้ได้
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกกังวลไหมหากเกิดตกลงกับอียูไม่ได้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่า ตนไม่ต้องการผลลัพธ์ของการเจรจาเช่นเดียวกับข้อตกลงแบบของออสเตรเลียและองค์การการค้าโลก และย้ำว่า อังกฤษจะ “อยู่ต่อไปได้” อย่างแน่นอน แม้ไม่มีข้อตกลงชุดใหม่
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลอังกฤษแจ้งต่อผู้ประกอบธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ว่า ทุกคนจะต้องทำเอกสารเพิ่มจากที่เคย ไม่ว่าอังกฤษและอียูจะบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่ และเตือนว่า ผู้ที่เตรียมตัวไม่พร้อมอาจจะต้องพบกับปัญหาในการทำธุรกิจได้
คำเตือนดังกล่าวทำให้ฝ่ายค้านออกมากล่าวหารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องว่า กำลังเตรียมให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบเหตุวุ่นวายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายเบร็กซิตที่ยุ่งเหยิงนี้
ทั้งนี้ อียูกล่าวว่า อังกฤษและอียูจะต้องสรุปรายละเอียดข้อตกลงใหม่นี้ภายในสิ้นเดือนตุลาคม หรือวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นอย่างช้า เพื่อให้อียูมีเวลาเพียงพอในการให้สัตยาบันต่างๆ ก่อนสิ้นปี
ทั้งสองฝ่ายมีกำหนดเจรจากันต่อที่กรุงลอนดอนในสัปดาห์หน้า และที่กรุงบรัสเซลส์ในสัปดาห์ต่อไป ก่อนที่ผู้นำจาก 27 ประเทศสมาชิกอียูจะประชุมกันระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคมเพื่อประเมินความก้าวหน้าการเจรจานี้ต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า เดิมพันของการเจรจานี้คือ มูลค่าการค้าระหว่างอังกฤษและอียูที่ราว 1.17 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
