หลังการสังหารหมู่ที่ไนท์คลับที่เกย์นิยมในนคร Orlando รัฐฟลอริดา มีเกย์นับพันๆ คนที่ไปเข้าแถวเพื่อบริจาคเลือดช่วยผู้รับเคราะห์
แต่คนเหล่านี้ต้องประสบความผิดหวัง เพราะองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ กำหนดนโยบายไม่รับเลือดจากเกย์และผู้ที่รักทั้งสองเพศ หรือ bisexual เพราะเกรงว่าคนเหล่านี้จะมีเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ และเลือดที่บริจาคจะถูกปนเปื้อน
แม้ในปีที่แล้วองค์การอาหารและยาจะปรับนโยบายรับเลือดจากคนกลุ่มนี้ แต่ก็มีข้อแม้ว่า ผู้บริจาคเลือดจะต้องไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนหน้านั้น
Sean Cahill ผู้อำนวยการการวิจัยสุขภาพของสถาบัน Fenway ในนครบอสตัน ซึ่งต่อสู้เคลื่อนไหวให้กับชุมชนคนรักเพศเดียวกันและผู้ที่แปลงเพศ (LGBT) ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว และให้ความเห็นว่า คนที่มีความเสี่ยงสูงแต่ไม่ถูกห้ามบริจาคเลือด คือผู้ชายที่ไม่เกย์ แต่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ให้บริการทางเพศ หรือผู้เสพยาเสพติดด้วยการฉีดเข้าเส้น ซึ่งอาจไปขายเลือดเพื่อเอาเงินไปซื้อยาเสพติด
นักวิจัยผู้นี้อยากให้พิจารณาความเสี่ยงของแต่ละคน แทนที่จะมองว่าใครเป็นสมาชิกของคนกลุ่มไหน และให้ข้อสังเกตไว้ด้วยว่า 15% ของเกย์ในอเมริกา มีเชื้อ HIV เป็นบวก ในขณะที่อีก 85% สามารถบริจาคเลือดได้อย่างปลอดภัย
เขาให้ความเห็นต่อไปว่า เวลานี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังสามารถทำให้การบริจาคเลือดปลอดภัยได้มากขึ้น
นักวิจัย Sean Cahill ระบุสองวิธีที่จะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเลือดที่บริจาคได้
วิธีแรก คือการทดสอบกรด nucleic ซึ่งเวลานี้ใช้เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ไม่ต้องรอเป็นเวลาหลายเดือนอีกต่อไป
อีกวิธีหนึ่งเรียกว่า ‘pathogen inactivation technology’ หรือการทำลายเชื้อโรคในเลือด ไม่ว่าจะเป็นไวรัสหรือแบคทีเรีย รวมทั้งเชื้อ HIV ถ้าหลุดรอดเข้าไปได้
Sean Cahill นักวิจัยสุขภาพของสถาบัน Fenway ในนครบอสตัน บอกส่งท้ายว่า การยกเลิกมาตรการห้ามบริจาคเลือดสำหรับเกย์และ bisexual จะสามารถเพิ่มคลังเลือดสำรองให้แก่ประเทศได้ระหว่าง 2 - 4%
และยังจะมีผลผ่อนคลายตราบาปทางสังคมให้กับคนเหล่านี้ได้ด้วย