รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วมประชุมกับ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ หารือหลากประเด็น คาด ถกทั้งเรื่องในไทย ไปจนถึงสถานการณ์ในเมียนมา
การพบกันระหว่าง รมต.บลิงเคนและนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในครั้งนี้ เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์หลังเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ และจีนพบกันที่กรุงเทพฯ เพื่อหารือวิธีลดระดับความตึงเครียดระหว่างกัน
รมต.บลิงเคน กล่าวระหว่างการให้การต้อนรับรองนายกรัฐมนตรีไทยว่า ในขณะที่ สหรัฐฯ และไทยร่วมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดำเนินมาถึง 190 ปีอยู่ ทั้งสองประเทศยังคงมุ่งมั่นที่จะจัดการดูแลสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นอนาคตต่อไป
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความเชื่อใน “การเสริมสร้าง[ความสัมพันธ์]ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป การทำงานร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายทั้งหลายที่ต่างเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นในระดับภูมิภาคและระดับโลก” พร้อมระบุว่า ตนรอคอยที่จะร่วมหารือกับฝ่ายไทยในหลายประเด็นด้วย
ในการนี้ นายปานปรีย์ แสดงความยินดีต่อการต้อนรับและคำเชิญของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในการยกระดับความเป็นพันธมิตรและความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ
เฟซบุ๊กกระทรวงการต่างประเทศของไทย โพสต์ข้อมูลในวันจันทร์ว่า นายปานปรีย์ได้เข้าพบกับอาโมส ฮอชสตีน ที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมด้วย
ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องศักยภาพในแง่รัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย และหารือเรื่องการส่งเสริมด้านความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน ด้านดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐานระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะหารือในรายละเอียดร่วมกันต่อไป
ในวันเดียวกัน นายปานปรีย์ยังได้เข้าพบกับจีนา ไรมอนโด รมว. กระทรวงพาณิชย์ โดยทั้งสองได้หารือในเรื่องการเพิ่มความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐฯ ร่วมกัน อ้างอิงตามหมายข่าวกระทรวงพาณิชย์ในวันจันทร์
ทั้งสองยังได้หารือเรื่องแนวทางที่จะทำให้กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือ IPEF เกิดขึ้นจริง และเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงหุ้นส่วนของ IPEF ผ่านข้อตกลงด้านห่วงโซ่อุปทาน เศรษฐกิจที่เป็นธรรมและพลังงานสะอาด
- ที่มา: เอพี, กระทรวงการต่างประเทศไทย, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
กระดานความเห็น