ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน กล่าวในวันอังคารว่า สหรัฐฯ มีแผนจะ "เพิ่มการชดใช้" ของอิหร่านในสัปดาห์นี้ จากเหตุการณ์ทำร้ายผู้ประท้วงที่เดินขบวนต่อต้านรัฐบาล สืบเนื่องจากการเสียชีวิตของสตรีผู้ถูกตำรวจศีลธรรมของอิหร่านจับกุมตัวเมื่อเดือนที่แล้ว
ปธน.ไบเดน ทวีตข้อความว่า "สหรัฐฯ ยืนหยัดเคียงข้างบรรดาสตรีและพลเมืองอิหร่านผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนทั่วโลกจากความกล้าหาญของพวกเธอ สหรัฐฯ จะยังเดินหน้าสนับสนุนสิทธิของชาวอิหร่านและการประท้วงอย่างเสรี"
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ มิได้ระบุว่ามาตรการใดที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันจะนำมาใช้ต่อรัฐบาลอิหร่าน
เมื่อวันจันทร์ โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง-ปิแอร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "เราตระหนกและตื่นกลัวจากรายงานที่ว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิหร่านได้ใช้กำลังปราบปรามนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วงอย่างสันติ และมีการจับกุมผู้ประท้วงจำนวนมาก"
โฆษกทำเนียบขาวกล่าวด้วยว่า นักศึกษาเหล่านั้นต่างโกรธแค้นต่อการเสียชีวิตของสตรีวัย 22 ปี มาห์ซา อะมินี และการจับกุมผู้ประท้วงอาจทำให้คนหนุ่มสาวอิหร่านจำนวนมากตัดสินใจหลบหนีออกจากประเทศเพื่อไปหาโอกาสในประเทศอื่น
ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี กล่าวในวันจันทร์ว่า การประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศในขณะนี้ ไม่ใช่การลุกฮือของประชาชนทั่วไป แต่มีอเมริกาและอิสราเอลอยู่เบื้องหลังในการวางแผนประท้วง
อะมินีถูกตำรวจศีลธรรมจับกุมในกรุงเตหะรานในข้อหาสวมผ้าคลุมผมไม่เรียบร้อย เธอเสียชีวิตในอีกสามวันต่อมาที่โรงพยาบาลหลังมีอาการป่วยสาหัส ซึ่งทางรัฐบาลอิหร่านระบุว่าเธอเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลว แต่ครอบครัวของอะมินีปฏิเสธว่าเธอไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมาก่อน และเชื่อว่าเธอถูกทุบตีทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่
การประท้วงที่เข้าสู่สัปดาห์ที่สามลุกลามไปเป็นความรุนแรงในหลายเมืองทั่วอิหร่าน มีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง ทางการอิหร่านระบุว่ามีผู้ประท้วงเสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน และถูกจับกุมราว 1,500 คน แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 130 คน และถูกจับกุมหลายพันคน
- ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์