ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เดินทางเยือนเมืองเอล ปาโซ ในวันอาทิตย์ เพื่อลงพื้นที่ประสบปัญหาคลื่นผู้อพยพโดยผิดกฎหมายที่ไหลทะลักเข้าอเมริกาจากพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
การเยือนเอล ปาโซ ของผู้นำสหรัฐฯ เป็นการเยือนพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งปธน. และมีขึ้นหลังจากประกาศมาตรการให้ชาวคิวบา นิการากัว เฮติ และเวเนซูเอลา สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้ราว 30,000 คนต่อเดือน และเปิดทางให้สามารถเข้าทำงานในสหรัฐฯ ได้ถูกต้องตามกฎหมายสูงสุดถึง 2 ปี ถ้ายื่นขออพยพเข้าสหรัฐฯ จากประเทศบ้านเกิดและผ่านการตรวจสอบประวัติต่าง ๆ แล้ว
แต่หากไม่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา รัฐบาลไบเดนจะส่งตัวคนเหล่านี้กลับประเทศผ่านพรมแดนเม็กซิโก ตามเงื่อนไขของกฎหมาย Title 42 ที่นำมาใช้ในช่วงโควิดระบาดในสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ พบกับเจ้าหน้าที่ทางการอเมริกันที่ดูแลเรื่องการเข้ามาของผู้อพยพที่สูงเป็นประวัติการณ์ จาก 4 ประเทศนี้ แม้ว่าผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวนมากมีมาจากพื้นที่อื่น ๆ ในโลก ไม่เพียงแต่ในกลุ่มประเทศในอเมริกากลางเท่านั้น ซึ่งสร้างภาระมากขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บันทึกตัวเลขผู้อพยพที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศได้ถึง 2.38 ล้านคนบริเวณพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้อพยพมากกว่าระดับ 2 ล้านคน และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อพยพจำนวนนี้ถูกจับกุมและส่งตัวกลับประเทศบ้านเกิดหรือประเทศต้นทางภายใต้อำนาจของกฎหมาย Title 42
- มีเนื้อหาบางส่วนจากเอพี