จำนวนผู้อพยพเข้ามาทางชายแดนภาคใต้ของสหรัฐฯ พุ่งสูงทำสถิติใหม่จนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องกดดันให้เม็กซิโกช่วยเปิดรับผู้ย้ายถิ่นฐานจาก คิวบา นิคารากัว และเวเนซุเอลา เพิ่ม ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และเม็กซิโก
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้อพยพจากทั้ง 3 ประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเม็กซิโกซิตี้เมื่อวันจันทร์ แต่รัฐบาลเม็กซิโกไม่ได้สัญญาว่าจะลงมือทำการใด ๆ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ได้รับข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 รายและเจ้าหน้าที่เม็กซิโก 2 รายซึ่งไม่ขอเปิดเผยตัวตน
ที่ผ่านมา เม็กซิโกรับตัวผู้อพยพชาวกัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ ที่สหรัฐฯ ส่งตัวกลับมาอยู่แล้ว โดยสถิติที่บันทึกได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณมาชี้ว่า มีประชาชนจาก 3 ประเทศนี้จำนวนราว 299,000 คนที่ถูกปฏิเสธการเข้าประเทศที่ชายแดนสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของผู้อพยพจาก คิวบา นิคารากัว และเวเนซุเอลา ที่ราว 9,000 คนอย่างมาก
ความพยายามของรัฐบาลกรุงวอชิงตันที่จะบีบให้เม็กซิโกช่วยรับผู้อพยพกลุ่มดังกล่าวเพิ่มแสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อประชากรของ 3 ประเทศนี้ที่ได้รับอนุญาตเข้าสหรัฐฯ จะสามารถยื่นเรื่องขอลี้ภัยได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และรัฐบาลทั้งสามนั้นอยู่ในภาวะไม่ค่อยดีเท่าใด
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ชายแดนสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณปัจจุบัน มีผู้อพยพที่ถูกจับกุมขณะพยายามข้ามพรมแดนเข้าสหรัฐฯ สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.8 ล้านคน โดยหลายคนเคยพยายามหาทางข้ามแดนมาหลายครั้งแล้ว โดยสถานการณ์เช่นนี้นำมาซึ่งความท้าทายด้านมนุษยธรรมและภาระทางการเมืองต่อรัฐบาลปธน.ไบเดน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ด้วย
- ที่มา: วีโอเอ