วันแรกในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เริ่มต้น ด้วยการลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารมากมายในวันพุธ
หนึ่งในนั้น คือ การยุบคณะกรรมการที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1776 Commission) และยกเลิกรายงานของคณะทำงานชุดนี้ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ ซึ่งมีเป้าหมายในการผลักดัน “การศึกษาว่าด้วยความรักชาติ” ในอเมริกา
ในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดน ระบุว่า คณะกรรมการ 1776 Commission มุ่งหมายที่จะลบหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกา ที่เกี่ยวเนื่องกับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติสีผิว
คณะกรรมการ 1776 Commission เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน ตามดำริของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นคนผิวขาว โดยปราศจากนักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ในคณะกรรมการชุดนี้
ในรายงานความยาว 20 หน้ากระดาษของคณะกรรมการชุดนี้ ได้เผยแพร่รายงานในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงสาธุคุณ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของคนผิวสีในอเมริกาผู้ล่วงลับ เมื่อปี ค.ศ. 1968
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของแผนดังกล่าวมีใจความเชิงยกย่องสรรเสริญผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาในยุคเริ่มเเรก ลดทอนเนื้อหาเกี่ยวกับระบบทาสในอดีต รวมทั้งยังกล่าวหาแนวคิดการเมืองหัวก้าวหน้าทั้งหลาย และโจมตีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองว่าขัดต่อ “อุดมการณ์อันสูงส่ง” ของบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ
ทางอดีตปธน.ทรัมป์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาในรายงานฉบับนี้จะปรากฏอยู่ในเนื้อหาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาไปทั่วประเทศ
คณะทำงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยกย่องรายงานฉบับดังกล่าวว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์ว่าด้วยการก่อตั้งอเมริกาที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่นักประวัติศาสตร์อเมริกันต่างออกโรงวิจารณ์รายงานฉบับดังกล่าว ว่านำเสนอประวัติศาสตร์อเมริกันที่ล้าสมัยและผิดจากความเป็นจริง รวมทั้งยังเพิกเฉยต่อการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ชาติที่มีมายาวนาน อย่างเช่น ไม่มีการระบุข้อมูลอ้างอิง หรือรายชื่อของแหล่งที่มาทางประวัติศาสตร์ในรายงานฉบับนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ใช้ระบบซอฟต์แวร์ ตรวจสอบการคัดลอกผลงานด้านวรรณกรรม ยังพบด้วยว่า ในบางส่วนบางตอนของรายงานฉบับนี้ “คัดลอก” ข้อความจากงานเขียนที่เป็นของคณะกรรมการชุดนี้เสียเอง
ทางสมาคมประวัติศาสตร์อเมริกัน (American Historical Association) ออกแถลงการณ์ประณามรายงานฉบับนี้ว่าเป็นการยกย่องผู้ก่อตั้งอเมริกา แต่กลับละเลยประวัติศาสตร์และคุณความดีของผู้ที่ตกเป็นทาส เหล่าชนพื้นเมือง และสตรีอเมริกันในอดีต พร้อมกันนี้ยังพบว่ารายงานฉบับนี้ คือ แผนการปลูกฝังความคิดความเชื่อให้กับนักเรียนนักศึกษาอเมริกันจากฝ่ายรัฐบาล
เดวิด ไบลท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สงครามกลางเมืองอเมริกา จากมหาวิทยาลัยเยล บอกว่า รายงานฉบับนี้คือการดูถูกระบบการศึกษาของประเทศ การศึกษาที่ควรจะส่งเสริมให้ชาวอเมริกันรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปในอดีตและปัจจุบันของประเทศ และรายงานฉบับนี้เปรียบได้กับผลงานโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มอนุรักษ์นิยมเท่านั้น
ไบลท์ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ไม่ต่างกับวิธีการสอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียนเกรด 6 เกรด 7 (เทียบเท่ากับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของไทย) เพื่อให้เด็กๆเหล่านี้มีความรู้สึกที่ดีต่อความเป็นอเมริกันชน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น รายงานดังกล่าวคือวาระของการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง
อิบราม เอ็กซ์. เคนดิ นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ด้านการเหยียดเชื้อชาติจาก Boston University บอกว่า รายงานฉบับนี้คือ "คำโกหกคำโตครั้งสุดท้าย" จากคณะทำงานของทรัมป์ที่มีแต่การหลอกลวง
ด้านแมทธิว สปอลดิง ประธานคณะกรรมการ 1776 Commission ตอบโต้การวิจารณ์ของบรรดานักวิชาการและนักประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน และว่ารายงานฉบับนี้มุ่งเน้นอุดมการณ์ความเป็นเอกภาพ ซึ่งระบุไว้ในคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ (Declaration of Independence) และไม่ได้เป็นรายงานที่เขียนให้นักประวัติศาสตร์ได้อ่าน แต่มีไว้เพื่อให้คนอเมริกันได้อ่าน และขอให้ทุกคนได้อ่านรายงานฉบับนี้ด้วยตัวเองเสียก่อน
เจมส์ กรอสแมน ประธานสมาคมประวัติศาสตร์อเมริกัน บอกว่า รายงานฉบับนี้จงใจลดความน่าเชื่อถือของนโยบายสาธารณะในยุคสมัยปัจจุบัน ที่มีรากฐานมาจากการเคลื่อนไหวของหัวก้าวหน้า และกังวลว่าถึงประธานาธิดีไบเดน จะสั่งยุบคณะกรรมการ 1776 Commission นี้ไปก็ตาม แต่เนื้อหาในรายงานฉบับนี้อาจไปปรากฏอยู่ในชั้นเรียนสักแห่งในอเมริกาอย่างแน่นอน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ควรต้องเข้าถึงและมีส่วนในการวางแผนการเรียนการสอนด้านประวัติศาสตร์ในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐของอเมริกา
ทันทีที่รายงานของคณะกรรมการ 1776 Commission ถูกถอดออกจากเว็บไซต์ของทำเนียบขาว รายงานฉบับนี้กลับไปปรากฏในเว็บไซต์ของกลุ่มอนุรักษ์นิยมหลายแห่ง
ทางดั๊ก เฮลเชอร์ ผู้ช่วยในทำเนียบขาวในยุคของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ บอกแต่เพียงว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับผู้ว่าการรัฐ ผู้บริหารในระดับรัฐ คณะกรรมการสถานศึกษา และพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ต่อไป จากที่ในรายงานเรียกร้องให้นำเนื้อหาดังกล่าวไปสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในอเมริกา และว่าการเรียนการสอนด้านประวัติศาสตร์ในปัจจุบันมีบทบาทต่อความแตกแยกในสังคมอเมริกันที่ยกระดับความรุนแรงขึ้นในตอนนี้