ในวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่น ที่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางเยือนประเทศสมาชิกกลุ่มจี-7 และเพื่อตอกย้ำความเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นที่เหนียวแน่น ในช่วงที่กรุงโตเกียวรู้สึกกังวลหนักเกี่ยวกับภัยด้านความมั่นคงจากจีนและจากการที่รัสเซียเดินหน้ารุกรานยูเครน
ในระหว่างการกล่าวต้อนรับผู้นำญี่ปุ่น ปธน.ไบเดน กล่าวว่า “สหรัฐฯ ยึดมั่นอย่างเต็มที่ ครบถ้วน (และ)พร้อมสรรพต่อความเป็นพันธมิตร” และว่า “ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ต่อการปกป้องญี่ปุ่น”
ขณะเดียวกัน นายกฯ คิชิดะ กล่าวผ่านล่ามว่า “ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ในปัจจุบันกำลังเผชิญสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่มีความซับซ้อนและมีความท้าทายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยของทั้งสองประเทศ”
ภายหลังการประชุมของสองผู้นำ มีการออกแถลงการณ์ร่วมสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ที่มีใจความว่า การหารือครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับการเป็นพันธมิตรของทั้งสอง และสำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และต่อโลก โดยความร่วมมือใหม่ของสองประเทศผ่านโครงการ National Security Strategy, National Defense Strategy and Defense Buildup Program เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่อินโด-แปซิฟิกกำลังเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งจีนและเกาหลีเหนือ
แถลงการณ์นี้ยังระบุว่า ความเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา โดยผู้นำของทั้งสองประเทศยืนยันด้วยว่า ความเป็นพันธมิตรนี้คือ หลักสำคัญของสันติภาพ ความมั่นคงและความรุ่งเรืองของอินโด-แปซิฟิก และทั้งสองประเทศจะเดินหน้าความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมความรุ่งเรืองของประเทศตนเองและของโลกด้วย
ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำของปธน.ไบเดนและนายกฯ คิชิดะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ร่วมประชุมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ฮายาชิ โยชิมาสะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ฮามาดะ ยาสุคาซู และหารือการปรับเปลี่ยนมากมายในด้านความร่วมมือกลาโหม การฝึกอบรมทางทหาร และความสัมพันธ์ของกองบัญชาการทางทหาร ซึ่งรวมถึง แผนงานจัดระเบียบหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่บนเกาะโอกินาวาด้วย
การปรับเปลี่ยนทั้งหมดที่ว่าซึ่งมีการประกาศออกมาในวันพุธที่กรุงวอชิงตัน ส่งสัญญาณที่ว่า พันธมิตรทั้งสองนั้นมองว่าโอกาสของการเกิดสงครามในอินโด-แปซิฟิกนั้นเริ่มสูงขึ้นจากการที่จีนอาจโจมตีไต้หวันหรือเกาหลีเหนือทำการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์
รัฐบาลนายกฯ คิชิดะวางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของประเทศให้ถึงเกือบ 2% ของจีดีพีภายในปี ค.ศ. 2027 ซึ่งเป็นระดับที่จะทำให้ญี่ปุ่นกลายมาเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีงบประมาณทางทหารสูงที่สุดในโลก
แซ็ค คูเปอร์ นักวิชาการอาวุโสด้านยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ในเอเชีย จาก American Enterprise Institute บอกกับ วีโอเอ ว่า ขณะที่ การที่จีนจะโจมตีไต้หวันยังเป็นเรื่องสมมติอยู่ สงครามในยูเครนที่เกิดขึ้นจากการรุกรานของรัสเซีย คือ ประเด็นที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นตื่นตัวกันมากว่า ในยุคนี้ ยังมีเหตุการรุกรานประเทศอื่น ๆ ได้อีก และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ที่จีนส่งเรือรบและเครื่องบินรบออกปฏิบัติการซ้อมรบรอบ ๆ ไต้หวันหลังการเยือนของอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แนนซี เพโลซี เมื่อปีที่แล้ว คนในญี่ปุ่นยิ่งตื่นกลัวหนักขึ้นไปอีก
- ที่มา: วีโอเอ