ชนชั้นกลางของจีนกำลังเติบโตขึ้นอยู่เรื่อยๆ และยอดขายรถในประเทศปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 33% หรือ 13.8 ล้านคัน
เมื่อมีรถเพิ่มขึ้น ปัญหาการจราจรติดขัดก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
รายงานการสำรวจของบริษัท IBM ในปีที่แล้ว ระบุว่า ผู้ใช้รถใช้ถนนในกรุงปักกิ่ง ใช้เวลาในท้องถนนยาวนานกว่าใครเพื่อน นานจนกระทั่ง 69% ของผู้ใช้รถใช้ถนนบอกว่า ตนต้องเปลี่ยนใจ ขับรถกลับบ้านแทนการไปทำงานหรือทำธุระนอกบ้านหลายครั้งในช่วงสามปีที่ผ่านมา
คุณ Liu Zhi ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจในภาคพื้นเอเชียตะวันออกและแปซิฟิคของธนาคารโลก กล่าวว่า รัฐบาลจีนใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างถนนหนทาง ทั้งที่เป็นทางหลวง และถนนในเมือง รวมทั้งระบบการขนส่งมวลชน แต่อัตราการเติบโตทางด้านโครงสร้างเหล่านี้ ไม่เร็วเท่าอัตราการซื้อรถใช้ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่
สำหรับมาตรการล่าสุดที่เทศบาลกรุงปักกิ่งนำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร คือการจำกัดการออกทะเบียนรถยนต์ไว้ที่ สองแสนสี่หมื่นคัน หรือแค่หนึ่งในสามของปีที่แล้ว และจะใช้วิธีออกลอตเตอรี่เป็นเครื่องมือในการออกทะเบียนรถ
ชาวกรุงปักกิ่งที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการใหม่นี้ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะมีกฎข้อบังคับจำกัดการมีรถยนต์ใช้ แต่ก็ยอมรับว่า ปักกิ่งและประชากรของปักกิ่งโตเร็วมาก บางคนไม่คิดว่า มาตรการนี้จะใช้ได้ผล
นอกจากมาตรการที่ว่านี้แล้ว เทศบาลกรุงปักกิ่งกำลังก่อสร้างระบบการขนส่งมวลชนที่คาดว่าจะช่วยลดการใช้รถยนต์ลงได้ คุณ Liu Zhi เจ้าหน้าที่ของธนาคารโลกกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องใช้เวลา แต่ว่า ถ้าดูในระยะยาว ตราบเท่าที่ปักกิ่งกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง รวมทั้งการควบคุมอุปสงค์ หรือ Demand ในการใช้รถ ประกอบกับการเพิ่มบริการขนส่งมวลชนในอนาคต ก็เชื่อว่า สภาพการจราจรจะดีขึ้นได้
อีกประเด็นหนึ่งที่ทางการกรุงปักกิ่งจะต้องพิจารณาด้วยก็คือ เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
นักวิจัยของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ในสหรัฐ และของมหาวิทยาลัย China Central South พบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวกับการจราจร อาจมากกว่าที่ทางการตำรวจรายงานไว้ ตัวอย่างเช่น ทีมงานวิจัยชุดนี้ระบุว่า มีการเสียชีวิตที่เกี่ยวกับการจราจรในปีค.ศ. 2007 สูงกว่าสองแสนราย ในขณะที่รายงานของตำรวจกล่าวว่า มีอยู่แปดหมื่นเศษเท่านั้น