ในการปรากฏตัวในเวทีโลกที่คาดว่าจะเป็นการประชุมสุดยอดนัดท้าย ๆ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ผู้นำทำเนียบขาวที่จะพ้นตำแหน่งรายนี้ต้องเผชิญกับคำถามใหญ่จากผู้นำโลกรายอื่น ๆ ว่าการเปลี่ยนนโยบายสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในยุคของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีแนวนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน จะเป็นไปในทิศทางใด
ปธน.ไบเดนมีกำหนดการเดินทางไปยังเปรูและบราซิลในวันพฤหัสบดี เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเปรู ในวันศุกร์และวันเสาร์ ที่กรุงลิมา ก่อนจะเดินทางต่อไปยังนครริโอ เดอ จาเนโร ในวันจันทร์และวันอังคาร ในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศจี20
ในการประชุดสุดยอดทั้ง 2 เวที ซึ่งคาดว่าจะเป็นการประชุมใหญ่ระหว่างประเทศนัดท้าย ๆ ในวาระของไบเดน เขาจะเผชิญหน้ากับพันธมิตรและหุ้นส่วนที่อาจตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวนโยบาย “อเมริกากลับมาแล้ว” และความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในเวทีโลก หลังจากในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้นำสมัยแรก ทรัมป์มีท่าทีจะถอนสหรัฐฯ ออกจากปฏิญญาปารีสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และขู่จะถอนสหรัฐฯ ออกจากพันธมิตรด้านการทหารนาโต้อีกด้วย
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐฯ จะยิ่งทำให้ความพยายามในการบรรลุเป้าหมายในประเด็นต่าง ๆ ของโลก อย่างเช่น การค้า ความยากจน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศผิดธรรมชาติ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และพลังงานทดแทน ได้รับผลกระทบมากขึ้นไปอีก
วิกเตอร์ ชา อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันทำงานให้กับ Center for Strategic and International Studies เผยกับวีโอเอว่า จะมีการ “คาดการณ์ คาดเดาถึงสิ่งที่จะได้เห็นในเชิงนโยบายที่หาเสียงไว้ และแนวทางที่ประเทศต่าง ๆ ปรับจุดยืนของตนเอง”
พันธมิตรอเมริกายังสำคัญ
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธว่า สำหรับผู้นำเหล่านี้ ถ้อยแถลงของไบเดนก็คือ “พันธมิตรของอเมริกามีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา” และว่า “พวกเขาทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาเพิ่มศักยภาพให้เรา พวกเราแบ่งเบาภาระออกไปได้ พวกเขามีจุดยืนร่วมกันกับเรา” พร้อมย้ำว่าไบเดนจะเข้าร่วมประชุมเอเปค ในช่วงที่พันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่ใน “จุดสูงสุดตลอดกาล” ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ ซัลลิแวน ยังเสริมว่า ไบเดนจะหารือไตรภาคีนอกรอบกับประธานาธิบดียูน ซุก ยอล แห่งเกาหลีใต้ และนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ แห่งญี่ปุ่น เพื่อหารือความสำคัญของความร่วมมือ 3 ฝ่ายที่จะเดินหน้าต่อไปในการเปลี่ยนผ่านไปยังคณะรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ
จอช ลิปสกี ผู้อำนวยการอาวุโสจาก GeoEconomics Center แห่ง Atlantic Council กล่าวกับวีโอเอว่า ไม่ว่าคำถามที่เกิดขึ้นกับคณะทำงานชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ไบเดนจะยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นใน “อุดมการณ์ของการมีส่วนร่วมของอเมริกากับทั่วโลก” โดยเสริมว่าไบเดน “เชื่อในผลประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับอเมริกาและทั่วโลก” ในการผลักดันอุดมการณ์นี้ต่อไป และ “ไม่มีการเลือกตั้งครั้งหนึ่งหรือประธานาธิบดีคนหนึ่งที่จะเข้ามาลดทอนคุณค่าของแนวคิดนี้ได้ในมุมมองของเขา”
วาระของไบเดน
ในนครริโอ เดอ จาเนโร ไบเดนจะ “แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แข็งแกร่งของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศกำลังพัฒนา และนำพากลุ่มจี20 ให้ทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลกที่มีร่วมกัน” ตามการเปิดเผยของทำเนียบขาว โดยคาดว่าไบเดนจะหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีเปรู ดินา โบลูอาเต้ และประธานาธิบดีบราซิล ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ด้านเศรษฐกิจ สิทธิ์แรงงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการแก้ปัญหาความยากจน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างมองว่าท่าทีต่าง ๆ ของไบเดนในเวทีทั้งหมดนี้ อาจเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์และมีผลแค่ในระยะสั้น เนื่องจากคณะทำงานชุดใหม่ของว่าที่ปธน.ทรัมป์ จะหยิบยกประเด็นอื่น ๆ มาเป็นวาระสำคัญ มากกว่าเรื่องโครงการสวัสดิการสังคมระดับโลกและภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า ทั่วโลกจับตาบทบาทผู้นำสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงจากตัวแทนพรรครีพับลิกันไปเป็นพรรคเดโมแครต และกลับไปเป็นรีพับลิกันอีกครั้งหนึ่งในช่วงหลายปีมานี้ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน จะมองหาโอกาสในการฉายภาพของความมีเสถียรภาพ ในระหว่างที่เผยวิสัยทัศน์ของจีนในบทบาทที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก
ในเปรู ปธน.สี จะประกาศแผนโครงการท่าเรือการค้าขนาดใหญ่ ภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ที่ทำให้ผู้นำรัฐบาลปักกิ่งมีอิทธิพลในหลายพื้นที่ทั่วโลก
และในการหารือระหว่างไบเดนและสี ซึ่งคาดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งปธน.ของไบเดน จะเกิดขึ้นที่กรุงลิมาในวันเสาร์ และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ว่าที่ปธน.ทรัมป์ เสนอชื่อผู้ที่มีแนวคิดสายเหยี่ยวต่อต้านจีนให้ดำรงตำแหน่งสำคัญด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นท่าทีที่อาจทำให้เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้นระหว่างรัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลปักกิ่ง
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น