ในขณะที่ทั่วโลก กำลังจับตามองค่าเงินยูโรซึ่งกำลังอ่อนตัวลง ราคาทองคำก็ได้ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุด เป็นสถิติใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และคงอยู่ที่ระดับประมาณ 1,200 ต่อออน เพิ่มขึ้นจากระดับ 930 ดอลล่าร์ต่อออนเมื่อปีที่แล้ว และจากระดับ 270 ดอลล่าร์ต่อออนเมื่อสิบปีก่อน
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ภาพรวมปัญหาหนี้สะสมของบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว ได้ส่งผลให้ความมั่นใจของนักลงทุน ที่มีต่อค่าเงินสกุลใหญ่ๆลดลง ซึ่งจะทำให้ทองคำกลายเป็นทางเลือก ที่น่าสนใจของบรรดานักลงทุนมากขึ้น
ทองคำนั้นถือเป็นทรัพย์สินอันมีค่า มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นอารยธรรม และเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ชนชาติต่างๆพยายามล่าอาณานิคม ยึดครองดินแดนห่างไกล เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหะมีค่าที่ว่านี้ จนถึงปัจจุบัน ทองคำยังคงเป็นสิ่งล้ำค่า และว่ากันว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย สำหรับการลงทุนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน หรือในช่วงที่เงินตราสกุลหลักต่างๆ มีค่าผันผวนเช่นในขณะนี้
ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลักดันให้ราคาทองคำสูงขึ้นไป อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ประมาณ 1,200 ดอลล่าร์ต่อออน หรือประมาณ 19,000 บาทต่อทองคำแท่ง 15.2 กรัมหรือ 1 บาท โดยนักวิเคราะห์ของธนาคาร Bank of America คุณ Mary Ann Bartels เชื่อว่าราคาทองคำน่าจะสูงขึ้นถึงออนละ 1,500 ถึง 1,600 ดอลล่าร์ในช่วงเวลาไม่นานนี้ตามปกตินั้น ความหวั่นเกรงภาวะเงินเฟ้อ จะเป็นปัจจัยทำให้นักลงทุนหันไปหาทองคำมากขึ้น
แต่ขณะนี้นักวิเคราะห์มองว่า ความเสี่ยงของเงินเฟ้อในระยะสั้น ทั้งในสหรัฐและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในระยะยาวจะเห็นภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในยุโรป ที่กำลังประสบปัญหาหนี้สะสมของภาครัฐ และยอดขาดดุลงบประมาณมหาศาลในหลายประเทศ วิกฤตหนี้ของกรีซส่งผลใหญ่หลวงต่อการอ่อนค่าของเงินยูโร ซึ่งนั่นทำให้นักลงทุนหันไปซื้อทองคำมากขึ้น แทนเงินยูโร
คุณ Bartels ชี้ว่าในอดีตที่ผ่านมา ราคาทองคำมักจะแปรผันตรงข้ามกับค่าเงินดอลล่าร์ แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าราคาทองคำ และค่าเงินดอลล่าร์นั้นเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน นั่นเป็นเพราะเวลานี้ราคาทองคำแปรผกผัน ตามค่าเงินยูโร ไม่ใช่เงินดอลล่าร์
ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ปัญหาหนี้ที่ไร้เสถียรภาพในยุโรปและสหรัฐ ในที่สุดแล้วจะกดดันให้ธนาคารกลาง ของยุโรปและสหรัฐต้องลดค่าเงินยูโรและเงินดอลล่าร์ลง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหม่ คือภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อย่างเช่นที่เกิดกับซิมบับเวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือเกิดในประเทศแถบอเมริกาใต้เมื่อราว 30-40 ปีที่แล้ว รวมทั้งในเยอรมันนีระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เป็นที่คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า การอ่อนค่าของเงินสกุลหลักในปัจจุบันโดยเฉพาะเงินยูโร จะทำให้เกิดการกว้านซื้อทองคำทั่วโลกขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งในส่วนของนักลงทุนและชาวบ้านทั่วไป อย่างไรก็ตาม คุณ Rachel Benepe ผู้จัดการฝ่ายบริหารความเสี่ยงของกองทุนทองคำ First Eagle มองในมุมกลับว่า เมื่อกระแสการตื่นกลัวดังกล่าวจางลง ผู้คนจะค่อยๆ ลดการซื้อหรือถือครองทองคำลง โดยทองนั้นเป็นเสมือนทางเลือก ในการปกป้องเงินของตนในช่วงที่เกิดความเสี่ยงมากกว่า
บรรดานักวิเคราะห์สรุปว่า หากค่าเงินยูโรเริ่มแข็งขึ้นเมื่อไหร่ คาดกันได้ว่าราคาทองคำก็จะชะลอลง แต่หากค่าเงินยูโรไม่เพิ่มขึ้น ราคาทองในอนาคตก็จะสูงขึ้น ตามที่คาดการณ์กันไว้อย่างแน่นอน