สิ่งหนึ่งที่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ก็คือ กาลเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งความงามของมนุษย์ และความต้องการเสาะหา เครื่องสำอางมาประทินโฉม ไม่ว่าจะเป็น อายไลน์เนอร์ อายแชโดว์ ลิปสติก หรือสีทาแก้ม ซึ่งรายงานของสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ระบุว่ามีการพัฒนาใช้สำหรับทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นคนชนชั้นใด ตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ
ขณะที่ นักแสดงชื่อดัง อลิซาเบธ เทย์เลอร์ คือผู้ที่ทำให้ความงามแบบอียิปต์โบราณ เริ่มกลายมาเป็นแนวนิยมในหมู่สาวๆ เมื่อตอนสวมบทบาท คลีโอพัตรา เมื่อปี ค.ศ. 1963 นักร้องยอดนิยม ริฮานน่า ต่อยอดความเป็นอมตะแบบอียิปต์ด้วยการแต่งหน้าสไตล์เดียวกับ เนเฟอร์ติติ ขึ้นหน้าปกนิตยสารโว้ก อาหรับ เมื่อปี ค.ศ. 2017 ที่ทำให้เห็นว่าความงามโบราณนี้ไม่เคยตกยุคไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่พันปีแล้วก็ตาม
แต่เมื่อมีการศึกษาลึกลงไป ก็พบว่า ชาวอียิปต์นั้นไม่ได้เพียงแต่ใช้เครื่องสำอางแต่งแต้มผิวภายนอกเพื่อให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างกิจวัตรและกระบวนการต่างๆ ด้วย ส่วนผู้ที่มีหน้าที่แต่งหน้าและเสริมความงามในยุคนั้น ต้องมีทักษะพอที่จะรังสรรค์ความงามจากวัสดุ Kohl หรือผงสำหรับทาเปลือกตา และลิปสติก ให้ออกมางามและตะลึงสำหรับผู้พบเห็นด้วย
มีการค้นพบว่า พิธีกรรมเสริมความงามในยุคอียิปต์โบราณนั้นเริ่มต้นที่ห้องน้ำของสตรีฐานะร่ำรวย ตามธรรมเนียมในสมัยอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) หรือช่วงระหว่าง 2,030 และ 1,650 ปีก่อนคริสตกาล ที่สตรีในระดับนั้นจะได้รับการปฏิบัติปรนเปรออย่างเต็มที่ โดยก่อนที่จะแต่งแต้มเติมสีสัน จะต้องมีการเตรียมผิวเสียก่อน
กระบวนการดังกล่าวมักเริ่มที่การขัดผิวด้วยเกลือจากทะเลเดดซี หรือไม่ก็อาบน้ำนม พร้อมๆ กับการมาสก์ผิวหน้าด้วยน้ำนมผสมน้ำผึ้งที่เป็นที่นิยมในยุคนั้น จากนั้น บางคนอาจเลือกใช้เม็ดธูปหอมทาบริเวณใต้วงแขนต่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในสมัยนี้ และทาผิวด้วยน้ำมันกลิ่นดอกไม้หรือเครื่องเทศหอมเพื่อให้ผิวนุ่มละมุน
อีกเรื่องที่น้อยคนจะทราบก็คือ ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณยังเป็นผู้คิดค้นวิธีกำจัดขนด้วยแว๊กซ์ ด้วยการผสมน้ำผึ้งกับน้ำตาล ดังเช่นผลิตภัณฑ์ที่ธุรกิจด้านความงามหลายแห่งนำมาใช้ในปัจจุบันด้วย
และหลังคุณผู้หญิงเสร็จสิ้นกระบวนการที่กล่าวมาทั้งหมด คนรับใช้ก็จะนำทุกอย่างที่ต้องใช้ในการแต่งเติมสีให้กับผิวมาให้นายหญิงสร้างสรรค์ความงามเต็มรูปแบบ แต่ส่วนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหมดจะมาในรูปแบบหรือภาชนะหรูหราที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้ใช้งานด้วย ไม่ว่าจะเป็นโถแร่หินสีสวยงาม บรรจุขี้ผึ้งทาปาก หรือน้ำหอม รวมทั้งตลับที่ทำจากวัสดุราคาแพง เช่น แก้ว ทองคำ หรืออัญมณี ที่บรรจุสีและน้ำมันทาเปลือกตา เป็นต้น
เมื่อทุกอย่างพร้อม คนรับใช้จะผสมสี ก่อนจะใช้แปรงที่ทำจากงาช้างแต่งเติมสีสันบนใบหน้าของนายหญิงที่นั่งรออยู่หน้ากระจกเงาที่ทำจากสัมฤทธิ์
ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณพบว่า วัสดุ Kohl หรือผงสำหรับทาเปลือกตานั้นเป็นมากกว่าการเสริมความงาม เพราะยังช่วยปกป้องสายตาจากแสงจ้าของดวงอาทิตย์ เพราะภาษาอียิปต์ที่มีความหมายว่าเป็น makeup palette หรือ ตลับสีแต่งหน้า นั้นมีความหมายดั้งเดิมว่า “การปกป้อง” ขณะที่ส่วนผสมแร่ที่อยู่ในวัสดุนี้ยังมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย
ส่วนสีปากนั้น คนโบราณมักใช้ดินเหลืองที่ใช้ทำสี ผสมกับไขมันจากสัตว์และน้ำมันพืช ขณะที่ตำนานเล่าขานกันว่า คลีโอพัตรา พึงพอใจใช้สีแดงจากด้วงสีแดงมาทาปากมากกว่า แต่ส่วนสำคัญในการผสมสีทาปากนั้นคือไอโอดีนและธาตุโบรมีนแมนไนท์ ซึ่งทำให้สีที่ได้มีความเป็นพิษที่อาจคร่าชีวิตคนได้ ซึ่งอาจเป็นที่มาของคำว่า จูบมรณะ ก็เป็นได้
ศาสตร์และศิลป์แห่งความงามของอียิปต์โบราณเท่าที่กล่าวมา สะท้อนภาพเส้นทางสู่สุนทรียศาสตร์ในยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะในปัจจุบัน สาวๆ เกือบทั่วโลกล้วนต้องการที่จะหาผลิตภัณฑ์ดีๆ หรูหราควรค่าและมีรสนิยม ไม่ว่าจะต้องลงทุนมากเพียงใด มาแต่งแต้มเติมเต็มความรู้สึก ความงาม และความประทับใจจากคนรอบข้างเสมอมา