ในสังคมที่คุ้นเคยกับประชาธิปไตย ความคิดหรือความเชื่ออย่างเหนียวแน่นและการเห็นต่างทางการเมืองอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่พบได้บ่อยครั้ง และไม่ถึงกับทำให้เพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวมีความขัดแย้งถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรหรือไม่มองหน้ากัน
แต่ความแตกแยกทางการเมืองในอเมริกาขณะนี้ระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์และผู้สนับสนุนโจ ไบเดน มีความรุนแรงในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทำให้เกิดคำถามว่ารอยร้าวที่ว่านี้จะสามารถรักษาได้หลังการเลือกตั้งหรือไม่
ในรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ได้สัมภาษณ์ชาวอเมริกันสิบคน โดยครึ่งหนึ่งสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์และอีกครึ่งสนับสนุนโจ ไบเดน
คุณเมย์รา โกเมซ เป็นสมาชิกพรรคเดโมแคมาตลอดชีวิต เมื่อเธอบอกกับลูกชายว่าเธอจะลงคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ บุตรชายอายุ 21 ปีก็ตอบกลับว่าคุณไม่ใช่แม่ผมอีกต่อไปเพราะคุณเลือกลงคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ และการสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างแม่ลูกคู่นี้เมื่อห้าเดือนที่แล้วก็มีความรุนแรง จนคุณโกเมซ คุณแม่วัย 41 ปี บอกว่าเธอไม่คิดว่าจะสามารถกลับไปคืนดีกันได้ถึงแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะแพ้การเลือกตั้งก็ตาม
คุณเมย์รา โกเมซ สนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ปราบปรามคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ แต่เธอก็ยอมรับว่าในสายตาของหลายคนนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเหมือนอสุรกายซึ่งยากที่จะยอมรับได้
คุณโกเมซไม่ได้เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของคนในครอบครัวที่ไม่หันหน้าเข้าหากันเมื่อมีความเห็นที่แตกต่างระหว่างพรรคการเมืองที่ตนชอบหรือสนับสนุน เพราะนางเกล แมคคอมิค สตรีวัย 77 ปี ก็หย่าขาดจากสามีอายุ 81 ปี หลังจากที่สามีของเธอลงคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสี่ปีก่อน และหลานของเธอสองคนก็ไม่พูดกับเธอจากการที่เธอสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบที่แล้วด้วย
ส่วนคุณโลซานา กัวดาโน สมาชิกพรรคเดโมแครตวัย 49 ปี ก็ถูกพี่ชายตัดขาดจากการสื่อสารในครอบครัว เพราะเธอปฏิเสธการลงคะแนนให้โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสี่ปีก่อน และพี่ชายก็ไม่ได้ส่งข่าวเรื่องการเสียชีวิตของมารดาจนกระทั่งเวลาผ่านไปแล้วถึงหกเดือน
ในช่วงสี่ปีของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างผลงานความชื่นชอบให้กับผู้สนับสนุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายผู้อพยพเข้าเมือง การแต่งตั้งผู้พิพากษาแนวทางอนุรักษ์นิยม หรือการตัดสินใจทำอะไรนอกรูปแบบและคำพูดที่เผ็ดร้อนซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นการพูดจากใจจริง
ขณะที่ผู้ไม่เห็นด้วยก็มองว่า อดีตนักธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ดำเนินรายการเรียลลิตี้โชว์ผู้นี้เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยของอเมริกา เป็นผู้พูดโกหกจนเป็นนิสัย และเป็นผู้คลั่งชาติแบ่งแยกผิวที่จัดการเรื่องโควิด-19 อย่างผิดพลาดจนทำให้มีคนอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วกว่า 230,000 คน
ผลการสำรวจของ Pew Research Center เมื่อเดือนกันยายน พบว่าเกือบ 80% ของผู้ที่สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ หรือที่สนับสนุนโจ ไบเดน ยอมรับว่าตนไม่มีหรือแทบไม่มีเพื่อนซึ่งสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่งเลย
ส่วนผลการศึกษาของ Gallup Poll เมื่อต้นปีนี้ก็แสดงว่าในปีที่สามของการดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้เกิดความแตกแยกและแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรงคือ 89% ของชาวพรรครีพับลิกันเห็นด้วยกับผลงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ในขณะที่มีเพียง 7% ของชาวพรรคเดโมแครตเท่านั้นที่คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์ทำได้ดี
ขณะที่การเลือกตั้งของสหรัฐฯ กำลังจะมีขึ้น คำถามขณะนี้ก็คือความแตกแยกทั้งในสังคมและความร้าวฉานในความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ว่านี้จะสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ หากประธานาธิบดีทรัมป์แพ้การเลือกตั้ง ซึ่งก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครแน่ใจว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร
โดยอาจารย์เจ แวน เบเวิล ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและนักประสาทวิทยาที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ตั้งข้อสังเกตว่า ความแตกแยกทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกันขณะนี้มาจากความรู้สึกลึก ๆ ทั้งในแง่ศีลธรรมและมโนธรรม โดยอาจารย์เจ แวน เบเวิล บอกว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองในระดับค่านิยมหลักของผู้คน ดังนั้นแต่ละคนจึงไม่ยอมผ่อนปรนหรือปล่อยวางให้ผ่านไปง่ายๆ
ส่วนคุณเจมี ซาอัล นักจิตบำบัดที่ศูนย์พฤติกรรมการแพทย์โรเชสเตอร์ในรัฐมิชิแกน ก็เชื่อว่าการสร้างความสมานฉันท์และการรักษาบาดแผลครั้งนี้อาจไม่ง่ายเหมือนการเปลี่ยนประธานาธิบดี และว่าเรื่องนี้จะต้องใช้ทั้งเวลา ต้องอาศัยความพยายามและจำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจจากผู้นำของทั้งสองพรรคการเมืองเพื่อให้อเมริกาสามารถก้าวข้ามปัญหาความขัดแย้งและเดินหน้าไปได้ด้วยกัน