ทีมนักวิจัยระดับนานาชาติทีมใหญ่ทีมหนึ่งได้ทำการศึกษาผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่วโลกจำนวน 1,900 คนและพบว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยในเกือบทุกชาติในแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า ติดเชื้อเอดส์สายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาต้านไวรัส tenofovir
และพบว่ามีผู้ป่วยเอดส์ราว 20 เปอร์เซ็นต์ในยุโรปที่เริ่มดื้อต่อยาต้านไวรัส
การศึกษานี้ชี้ว่าผู้ติดเชื้อราว 15 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ยาต้านไวรัสแบบค็อกเทลที่มียา tenofovir เป็นส่วนผสมจะเริ่มดื้อต่อยาที่ใช้ในช่วงปีแรกของการบำบัด นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า สองในสามของผู้ป่วยที่ดื้อต่อยา tenofovir จะเริ่มดื้อต่อยาต้านไวรัสตัวอื่นๆ ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในยาค็อกเทลอีกด้วย
ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Infectious Diseases ไปเมื่อเร็วๆนี้
ผู้ติดเชื้อในการศึกษาทั้งหมดเริ่มมีอาการป่วยหนักขึ้น แม้ว่าจะได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส tenofovir หนึ่งในยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ตาม
คุณ Ravi Gupta ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านโรคติดต่อแห่งมหาวิทยาลัย University College of London กล่าวว่าองค์การอนามัยโลกหรือ WHO แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส tenofovir ในการบำบัดเอดส์ เพราะถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดตัวหนึ่งเเละเป็นยาค็อกเทลตัวหลัก
ทีมนักวิจัยต้องการศึกษาเรื่องนี้เพื่อหาคำตอบว่าผลการบำบัดด้วยยาตัวนี้จะเป็นอย่างไรหากใช้ในกลุ่มผู้ติดเชื้อกลุ่มใหญ่ในประเทศยากจน
คุณ Gupta ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อในอังกฤษกล่าวว่า ปัญหาที่พบคือคนจำนวนมากไม่ใช้ยาต้านไวรัสเอดส์แบบค็อกเทลเป็นประจำอย่างที่ควร ทำให้เชื้อเอดส์เริ่มดื้อต่อยา
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อในอังกฤษกล่าวว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างน้อย 85-90 เปอร์เซ็นต์ของระยะเวลาทั้งหมด เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงที่สุด ไม่เช่นนั้นเชื้อไวรัสจะเริ่มกลายพันธุ์
ในพื้นที่ชนบทห่างไกล คุณ Gupta ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีการขาดแคลนยาต้านไวรัส tenofovir เพราะมีปัญหาด้านการจัดส่งยาทำให้การบำบัดขาดความต่อเนื่อง
เขากล่าวว่าหากผู้ป่วยหยุดรับประทานยาต้านไวรัส ระดับตัวยาในเลือดจะลดลงและเชื้อไวรัสจะเริ่มปรับตัวและกลายพันธุ์ จนสามารถต่อต้านต่อตัวยา และแม้ว่าจะกลับไปรับประทานยาตัวเดิมในปริมาณเดิมอีก ยาก็จะไม่ได้ผลในการลดปริมาณไวรัสเอชไอวีในเลือดลง
ในห้องทดลอง การศึกษาหลายๆครั้งชี้ว่าเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ จะไม่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมจริงๆ แต่คุณ Gupta ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อในอังกฤษกล่าวว่า ในกรณีของโรคที่เชื้อโรคเริ่มกลายพันธุ์ อย่างโรคเอดส์ การแพร่ระบาดจะรุนแรงเพราะผู้ป่วยมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดสูงพอที่จะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ เขากล่าวว่าบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยไม่เข้ารับการตรวจหรือเข้ารับการบำบัด จนกระทั่งโรคเข้าขั้นรุนแรงแล้ว
คุณ Gupta ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อที่มหาวิทยาลัย University College London กล่าวว่า จำเป็นต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้มเเข็งของโครงการบำบัดโรคเอดส์ในระดับทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการติดตามตัวผู้ป่วยให้เข้ารับการตรวจร่างกายบ่อยมากขึ้นเพื่อวัดดูระดับไวรัสเอชไอวีในเลือด
แม้ว่าจะมียาต้านไวรัสตัวอื่นที่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยที่ดื้อต่อยา tenofovir ได้ แต่ยาจะแพงกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า คุณ Gupta กล่าวว่าบรรดาองค์การด้านสาธารณสุขระดับโลก จำเป็นจะต้องพยายามหาทางคงประสิทธิภาพของยาค็อกเทลบำบัดเอดส์ที่รวมเอาตัวยาต้านไวรัส tennofovir ไว้เป็นส่วนผสม ให้ใช้ได้ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน )