ผลของการวิจัยศึกษาของบริษัทข่าวกรองเอกชนบริษัทหนึ่งระบุว่า ในระยะไม่กี่ปีมานี้ผู้ก่อการร้ายโจมตีโรงแรมมากขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึง บริษัทข่าวกรองแห่งนั้นกล่าวว่าการที่การรักษาความปลอดภัยตามสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลต่างๆ เป็นไปอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้นทำให้ข่ายงานก่อการร้ายอัล-ไคด้าและกลุ่มพันธมิตรต้องเปลี่ยนใจไปสู่เป้าหมายที่โจมตีได้ง่ายขึ้น
ก่อนหน้าที่ผู้ก่อการร้ายจะโจมตีในสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปีพุทธศักราช 2544 ข่ายงานก่อการร้ายอัล-ไคด้าสร้างชื่อให้ตนเอง โดยการโจมตีเป้าหมายด้านการทหาร และสถานเอกอัครราชทูตของฝ่ายตะวันตกอย่างเช่นเรือรบโคลของสหรัฐนาวี และสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันในเคนยา และทานซาเนีย
แต่บริษัทข่าวกรองเอกชน แสตรตฟอร์ กล่าวว่าการนำมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาใช้นับตั้งแต่ผู้ก่อการร้ายโจมตีที่นครนิวยอร์ค และกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่11 เดือนกันยายน ปีพุทธศักราช 2544 เป็นต้นมา ทำให้ข่ายงานก่อการร้าย อัล-ไคด้าและพันธมิตรต้องหันไปหาเป้าหมายที่โจมตีได้สะดวกขึ้นอย่างเช่นโรงแรม
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2544 เป็นต้นมา การโจมตีโรงแรมเกิดบ่อยขึ้นกว่าเก่าสองเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับของในช่วงแปดปี ก่อนเกิดการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปีพุทธศักราช 2544 มือระเบิดพลีชีพโจมตีโรงแรมในกรุงอิสลามบัด และนครเปชาวาร์ ประเทศปากีสถาน และโรงแรมในกรุงจาร์กาต้าเมื่อปีที่แล้วเป็นต้น ส่วนมือปืนอาวุธครบมือโจมตีโรงแรมหรูหราสองแห่งในนครมุมบาย ประเทศอินเดีย
รองประธานฝ่ายยุทธวิธีข่าวกรองของบริษัทข่าวกรองเอกชน สแตรตฟอร์ สก็อตต์ สจ๊วตกล่าวว่าพวกฝักใฝ่ความรุนแรงชอบโจมตีโรงแรม เพราะว่ามีชาวตะวันตก นักการเมืองและนายทหารระดับสูงชอบไปใช้บริการตามโรงแรมกันอยู่บ่อยๆ
คุณสก็อตต์ สจ๊วตกล่าวไว้ตอนนี้ว่า "โรงแรมหรูระดับห้าดาวของต่างประเทศเป็นที่พบปะสังสรรค์สมาคมไม่ใช่สำหรับพวกเศรษฐีในประเทศนั้นเท่านั้น แต่สำหรับชาวต่างชาติด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติ หรือนักการทูตต่างชาติ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งสื่อหรือผู้สื่อข่าวต่างประเทศด้วย คนเหล่านี้จะพักอยู่ตามโรงแรมเหล่านี้ ดังนั้นโรงแรมแบบนั้นจึงเป็นเป้าที่น่าโจมตีถ้าต้องการสังหารชาวตะวันตก และถ้าต้องการให้สื่อแพร่ข่าวการโจมตี"
คุณสก็อตต์ สจ๊วตกล่าวเตือนว่า โดยธรรมชาติแล้ว การทำให้โรงแรมมั่นคงปลอดภัยโดยสมบูรณ์ทำได้ยากเพราะเราปิดโรงแรมไม่ได้ โรงแรมต้องการให้คนมาพัก มารับประทานอาหารที่ภัตตาคารของโรงแรม มาจับจ่ายซื้อข้าวของที่ร้านค้า เพื่อหารายได้เนื่องจากโรงแรมเป็นสถานประกอบธุรกิจการค้า ด้วยเหตุนี้การรักษาความมั่นคงปลอดภัย จึงทำได้ยากเพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกับของสถานเอกอัครราชทูตนั่นเอง
รายงานของบริษัทข่าวกรองเอกชน แสตรตฟอร์ ระบุด้วยว่าโรงแรมบางส่วนนั้น แม้ว่าจะถูกผู้ก่อการร้ายคุกคามเสียด้วยซ้ำไป ก็ยังละล้าละลังใจที่จะนำมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ที่ยุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างเช่นการตรวจบัตรประจำตัวและลูกกุญแจ และการตรวจกระเป๋าเดินทางมาใช้เพราะเกรงว่าแขกที่มาพักจะเบื่อหน่าย แต่รายงานกล่าวเสริมว่า วิสัยที่ผู้ประสพความเดือดร้อนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย จะฟ้องร้องเอาได้อาจบีบบังคับให้โรงแรมต่างๆเปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีปฏิบัติของตน