คำถามที่สื่อ และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจให้ความสนใจในขณะนี้ ก็คือ เหตุการณ์การประท้วงรัฐบาลครั้งล่าสุดในประเทศไทย อาจส่งผลกระทบอย่างไรได้บ้างต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
รายงานของสำนักข่าว Bloomberg อ้างคำกล่าวของ Mark Mobius แห่งบริษัท Templeton Asset Management ที่ว่า ความปั่นป่วนทางการเมืองในประเทศไทย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจได้ และว่าสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องทำในระยะสั้น และระยะกลาง คือ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุน
บริษัท Templeton Asset Management ซึ่งจัดการการลงทุนในประเทศไทยมาเป็นเวลานานราวๆยี่สิบปีแล้ว มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง San Mateo ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และควบคุมเงินทุนสำหรับการลงทุนในตลาดประเทศ ที่กำลังเติบโตมูลค่าสองหมื่นล้านดอลล่าร์
นักลงทุน Marc Faber ซึ่งตีพิมพ์รายงานการลงทุนที่เรียกชื่อว่า Gloom, Boom and Doom ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ จะทำให้มีนักลงทุนจากต่างประเทศน้อยลง และบรรดาผู้จัดการการลงทุนอาจจะขายหลักทรัพย์ที่ถือไว้ ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Deutsche เสนอแนะให้ลูกค้าขายหุ้นของ Minor International ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่หลายแห่งในประเทศไทย รวมทั้ง JW Marriott ที่ภูเก็ต และ The Four Seasons ในกรุงเทพฯ
นักวิเคราะห์ของ Cazenove Asia Ltd. ก็มีความเห็นอย่างเดียวกัน และกล่าวเสริมไว้ในรายงานด้วยว่า การใช้จ่าย และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชลอตัวลง เพิ่มโอกาสความเสี่ยงที่จะมีหนี้เสียเกิดขึ้น นักวิเคราะห์ของบริษัทนี้ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นของธนาคารกสิกรไทย และกรุงไทย
ในอีกด้านหนึ่ง Fitch Ratings สำนักจัดอันดับเงินตราต่างประเทศระยะยาว ลดระดับของประเทศไทยลงจาก BBB+ เป็น BBB โดยอ้างความไม่สงบในประเทศมาเป็นเหตุผล รายงานข่าวของ Bloomberg คาดว่า Moody's Investors Service และ Standard & Poor's อาจดำเนินการอย่างเดียวกัน
นอกจากความห่วงกังวลในเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศแล้ว ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลกที่ส่งผลกระทบถึงการส่งออกของประเทศไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะลดลง เป็นอีกสองเรื่องทางเศรษฐกิจ ที่รายงานข่าวในต่างประเทศหยิบยกมากล่าวถึง
โดยทั่วไป การส่งออกมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ในขณะที่การท่องเที่ยวทำรายได้ให้ประมาณ 12% และผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้รัฐมนตรีกร จาติกวนิชย์ของกระทรวงการคลัง กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ Bloomberg เมื่อวันที่ 14 เมษายนว่า เศรษฐกิจของประเทศอาจหดตัวลง 3% ในปีนี้
แต่นักบริหารการลงทุน Mark Mobius ยังมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศไทยในระยะยาว และว่า ตราบเท่าที่สถาบันสูงสุดของประเทศยังมีเสถียรภาพ ทรัพยากร-ธรรมชาติ การส่งออก และเศรษฐกิจภายในของไทยเอง อาจช่วยให้ประเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้ในที่สุด และตามความเห็นของนักลงทุนผู้นี้ ในช่วงเวลา 77 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการปฏิวัติมาแล้ว 21 ครั้งในประเทศไทย ก็น่าจะหมายความว่า ประเทศไทยสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
