ในปี ค.ศ.2011 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า คนอเมริกันรุ่นเบบี้บูมซึ่งเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1946-1964 ก็จะมีอายุย่าง 65 ปีแล้ว และคนอเมริกันกลุ่มนี้ซึ่งมีจำนวนกว่า 78 ล้านคนต่างกำลังเริ่มมองไปถึงชีวิตหลังวัยเกษียณการทำงานของตน
คาดว่าผลจากการเกษียณของคนรุ่นเบบี้บูมจะส่งผลให้ธุรกิจต่างๆขาดแคลนพนักงานและเกิดสภาวะสมองไหลออกจากภาคธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
รายงานการสำรวจล่าสุดขององค์กร Conference Borad ระบุว่าบริษัทต่างๆยังไม่มีการเตรียมตัวสำหรับการเกษียณอายุของคนรุ่นเบบี้บูมในอีก 4 ปีข้างหน้าเท่าใดนัก ในปี คศ.2011 นั้นคนรุ่นเบบี้บูมจะเกษียณอายุเป็นจำนวนมากที่สุด และคาดว่าจำนวนพนักงานที่จะเข้ามารับช่วงต่อนั้นไม่เพียงพอที่จะทดแทนตำแหน่งงานที่หายไป
คุณ Diane Piktialis จนท.ของ Conference Borad ซึ่งก็เป็นคนรุ่นเบบี้บูมเช่นเดียวกันกล่าวว่า ไม่เพียงแต่บริษัทต่างๆจะมีพนักงานไม่พอสำหรับทดแทนคนที่จะเกษียณอายุเท่านั้น แต่องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีโครงการสำหรับถ่ายทอดทักษะความรู้ของคนที่กำลังจะเกษียณไปให้แก่พนักงานที่จะเข้ามาใหม่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเธอบอกว่า เวลานี้บริษัทต่างๆควรหันมาให้ความสนใจกับการหาวิธีทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ มากกว่าจะมามัวกังวลกับการเกษียณอายุการทำงานของคนรุ่นเบบี้บูม
จนท.องค์กร Conference Borad ผู้นี้บอกว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดตอนนี้คือการปรับเปลี่ยนนโยบายของบริษัทเพื่ออนุญาตให้คนที่แม้จะใกล้ถึงวัยเกษียณแล้วแต่ยังไม่อยากอยู่กับบ้านเฉยๆ ให้มีโอกาสทำงานเพื่อบริษัทต่อไป เพราะมีคนที่ถึงวัยใกล้เกษียณจำนวนมากที่ยังไม่อยากหยุดทำงาน แต่ยินดีที่จะมีชีวิตยุ่งๆที่บริษัทเหมือนที่เคยเป็นมาต่อไป คนเหล่านี้เชื่อว่าตัวเองยังมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งให้แก่องค์กรได้
และเพื่อที่จะดึงศักยภาพของคนรุ่นเบบี้บูมออกมา คุณ Diane Piktialis บอกว่าบริษัทและองค์กรต่างๆต้องทบทวนวิธีรับสมัครพนักงานใหม่ให้ใส่ใจค้นหาคนรุ่นเบบี้บูมที่มีความสามารถบ้าง เธอบอกว่าปัจจุบันมีน้อยบริษัทที่คิดจะรับพนักงานที่อายุมาก ส่วนใหญ่มุ่งรับสมัครเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน คุณ Stephen Kotlikoff ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่าผลกระทบใหญ่ที่สุดเมื่อคนรุ่นเบบี้บูมเกษียณอายุก็คือเรื่องการเงิน เพราะเมื่อคนเหล่านั้นหยุดทำงานก็จะไม่มีเงินเดือนและเลิกจ่ายภาษีให้แก่รัฐ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหารายได้ทางอื่นๆมาทดแทน
เวลานี้ทั้งรัฐบาลสหรัฐและภาคเอกชนกำลังคิดหาวิธีการรับมือกับปัญหาต่างๆที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่คนรุ่นเบบี้บูมเกษียณอายุการทำงานไป ซึ่งก็คงต้องรีบกันหน่อย เพราะจนถึงขณะนี้ มีเวลาเหลืออยู่ไม่ถึง 5 ปีแล้ว
