ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ตรวจสอบข่าว: เครมลินพยายามสร้างเรื่องอย่างหนักเพื่อโทษยูเครน กรณียิงกราดคอนเสิร์ต


ภาพของสถานที่จัดคอนเสิร์ต โครคัส ซิตี้ ฮอล์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงมอสโก และถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซาก เมื่อ 26 มี.ค. 2567 (NATALIA KOLESNIKOVA /AFP)
ภาพของสถานที่จัดคอนเสิร์ต โครคัส ซิตี้ ฮอล์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงมอสโก และถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซาก เมื่อ 26 มี.ค. 2567 (NATALIA KOLESNIKOVA /AFP)

แม้จะพยายามดำเนินแผนงานแพร่กระจายข้อมูลบิดเบือนครั้งใหญ่อย่างรวดเร็ว รัสเซียก็ยังประสบความล้มเหลวในการใส่ความยูเครนและชาติตะวันตกต่อสิ่งที่ระบุว่าเป็นการก่อการร้ายเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และแม้หลังกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอซิส) จะออกมาประกาศความรับผิดชอบและเผยแพร่คลิปวิดีโอของตน รัสเซียก็ยังเดินหน้าโกหกต่อไป

ทันทีที่เกิดเหตุโจมตีก่อการร้ายที่ชานกรุงมอสโกซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 139 คนและได้รับบาดเจ็บ 182 คนเมื่อสัปดาห์ก่อน รัสเซียได้เริ่มกระบวนการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนครั้งมโหฬารเพื่อสื่อว่า ยูเครนและประเทศตะวันตกทั้งหลายคือ ผู้บงการเบื้องหลังเหตุโศกนาฏกรรมนี้

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งดูแลหน่วยงานรักษากฎหมายและงานข่าวกรองทั้งหมดของรัสเซีย รวมทั้งนักโฆษณาชวนเชื่อชั้นนำของประเทศ สื่อของรัฐทั้งหมดและกองทัพโทรลล์หรือกลุ่มก่อกวนทางอินเทอร์เน็ต ของเครมลิน ล้วนมีส่วนร่วมอย่างมากในการปั่นทฤษฎีสมคบคิดนี้ให้แพร่หลายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน รัสเซียไม่ได้สนใจกลุ่มไอซิสที่กล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้เลย แม้จะมีการแชร์คลิปวิดีโอที่กลุ่มก่อการร้ายนี้อ้างว่า บันทึกไว้โดยผู้ก่อเหตุโจมตี และมีภาพของผู้ก่อการร้ายยิงประชาชนในระยะประชิดตัวด้วยก็ตาม

นั่นเป็นเพราะแม้จะมีพัฒนาการที่ว่าออกมาแล้ว เครมลินก็ยังเดินหน้าย้ำแต่ว่า ยูเครนและชาติตะวันตกเกี่ยวข้องกับการยิงกราดครั้งรุนแรงนี้

อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับปูติน และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย เป็นอีกผู้หนึ่งที่ออกมาดำเนินแผนงานโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า แทบจะทันทีที่เกิดเหตุในคืนวันศุกร์ที่แล้ว พร้อมเรียกร้องให้มีการฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ของยูเครนด้วย โดยระบุในโพสต์เทเลแกรมว่า:

“ถ้านี่เป็นเรื่องจริงว่า พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้มาจากรัฐบาลเคียฟ” และว่า “ต้องหาพวกนั้นทั้งหมดให้พบและต้องกำจัดโดยไร้ความปราณี ในฐานะผู้ก่อการร้าย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ร่วมมือก่อเหตุโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้”

จากนั้น สถานีโทรทัศน์ เอ็นทีวี (NTV) ซึ่งมีบริษัทพลังงานก๊าซพรอม (Gazprom) ของรัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของ ทำการเผยแพร่คลิปวิดีโอปลอมที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเป็นภาพของเลขาธิการสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติยูเครน โอเลกซีย์ ดานิลอฟ ยอมรับว่า ยูเครนมีส่วนร่วมกับการก่อการร้ายโจมตีที่ว่า

ก่อนจะเล่นคลิปวิดีโอปลอมดังกล่าวที่รายงานข่าวระบุว่า ตัดต่อได้อย่างแย่มาก ผู้ประกาศข่าวของ เอ็นทีวี กล่าวว่า “มีการยืนยันต่อสาธารณะและผ่านสถานีโทรทัศน์โดยเลขาธิการสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติยูเครน โอเลกซีย์ ดานิลอฟ ต่อกรณีรัฐบาลเคียฟมีส่วนร่วมกับการโจมตีก่อการร้ายในเขตปกครองมอสโก”

สถานีโทรทัศน์ สเวซดา (Zvezda) ของกระทรวงกลาโหมรัสเซียและสื่ออีกหลายแห่งนำคลิปวิดีโอปลอมของ เอ็นทีวี ไปเผยแพร่ต่อ และขยายความคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จว่า ยูเครนคือผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งล่าสุดนี้ ออกไปสู่ผู้ชมอื่น ๆ ต่อไป

ในวันเสาร์ถัดมา หน่วยงานความมั่นคงแห่งรัฐ (Federal Security Service – FSB) ของรัสเซีย ประกาศว่า ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 11 คนไว้แล้ว โดยอ้างว่า ทำการจับกุมตัวได้ใกล้ ๆ กับชายแดนรัสเซียที่ติดกับยูเครนและเบลารุส โดยหน่วยงานนี้ยังกล่าวอ้างด้วยว่า ผู้ต้องสงสัย 4 คนพยายามข้ามแดนไปฝั่งยูเครนด้วยรถยนต์ และ “เคยมีการติดต่อ” กับฝั่งยูเครน

และในวันเดียวกันนี้เอง เมดูซ่า (Medusa) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวอิสระของรัสเซียที่มีที่ทำการอยู่ในประเทศลัตเวีย รายงานว่า เครมลิน “สั่งการให้สื่อที่ภักดีต่อรัฐบาลทั้งหลายให้เน้นประเด็น “ร่อยรอยของยูเครนที่อาจสืบคนเจอ” ในรายงานเกี่ยวกับการโจมตีที่สถานีจัดคอนเสิร์ต โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ ด้วย

นอกจากนั้น มาร์การิตา ซิโมนยาน บรรณาธิการใหญ่ของกลุ่มบริษัทสื่อ MIA Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นของรัฐบาลรัสเซีย และดูแลสำนักข่าวอื่น ๆ เช่น สปุตนิก (Sputnik) และ RT ด้วย กล่าวหายูเครนว่า ทำการโจมตีก่อการร้ายครั้งนี้ โดยระบุว่า “ใช่เลย นี่ไม่ใช่ไอซิส [ไอเอส] พวกนั้นเป็น ‘คคโฮล’ Khokhol” โดยคำนี้คือคำเรียกในภาษารัสเซียที่ใช้ดูถูกชนพื้นเมืองยูเครน

ต่อมาในช่วงเย็นของวันเสาร์ ปูติน กล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนในประเทศเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเหตุยิงกราด โดยยืนยันว่า ผู้ก่อเหตุนั้นถูกจับกุมตัวไว้ได้แล้ว และย้ำว่า ทั้งหมดกำลังพยายามเดินทางไปยูเครน พร้อมกล่าวอ้างว่า ที่ฝั่งยูเครนนั้น มีการเตรียม “ช่องทาง” ให้ผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนรัสเซียออกไปด้วย

ที่สภาผู้แทนราษฎร (State Duma) ของรัสเซีย รองประธานสภา อเล็กซีย์ เชปา พูดถึงประเด็นความเกี่ยวข้องของยูเครนเสมือนกับว่า เป็นความจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยระบุระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อ RIA Novosti ว่า “แน่นอน มีร่องรอยของฝั่งยูเครน ... เหตุการณ์ทุกอย่างในวันนี้เกี่ยวเนื่องกับยูเครน”

ขณะเดียวกัน อันเดรย์ คาร์ตาโพลอฟ ประธานคณะกรรมการกลาโหมของ State Duma กล่าวในวันเดียวกันว่า “ยูเครนและพรรคพวก” คือ “กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” หลัก ในการโจมตีก่อการร้ายในเขตปกครองมอสโก

ส่วน อเล็กซานเดอร์ ดูกิน นักวิชาการชาตินิยมสุดขั้วของรัสเซีย กล่าวเสริมว่า อิสราเอลก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วย

ดูกิน ระบุในโพสต์เทเลแกรมในวันจันทร์ว่า “ไม่มีสมมติฐานใด ๆ ที่ควรถูกปัดตกโดยยังไม่มีการตรวจสอบ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการแก้แค้นของผู้นับถือลัทธิยิวต่อจุดยืนของรัสเซียในกาซ่า ทั้งยังมีร่องรอยของหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอลที่มีการติดต่อใกล้ชิดกับกลุ่มไอซิส”

เกนนาดี ซยูกานอฟ ประธานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และผู้นำกลุ่มคอมมิวนิสต์ในสภาล่างรัสเซีย ก็ออกมากล่าวหาซ้ำ ๆ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของ “สมาชิกนาโต้ แองโกล-แซ็กซอน”

และในระหว่างร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรีมิคาอิล มิชูสติน เมื่อวันจันทร์ ซยูกานอฟ กล่าวว่า สหรัฐฯ และอังกฤษนั้นอยู่เบื้องหลังการกราดยิงครั้งนี้ โดยระบุว่า “ไม่ใช่กลุ่มไอซิสเลย ... นี่เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี! แม้ว่า ไอซิสและทุกอย่างจะเป็นผลงานสร้างของซีไอเอและเอ็มไอ6 ทุกอย่างที่เราเห็นในครั้งนี้เป็นฝีมือพวกนั้นทั้งสิ้น”

นิโคไล พาทรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซีย ร่วมออกความเห็นในเรื่องนี้ในวันอังคาร โดยชี้ว่า ยูเครนมีความเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ด้วยแน่ และเมื่อถูกขอให้พูดให้ชัดเจนว่า มีอะไรที่บ่งชี้ว่า ยูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พาทรูเชฟ ตอบเพียงว่า “มีมากมาย”

และในวันอังคารเช่นกัน อเล็กซานเดอร์ บอร์ทนิคอฟ หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคง Federal Security Service กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการชี้ตัวผู้บงการและผู้จัดการให้มีการโจมตีก่อการร้ายที่ โครคัส ซิตี้ ฮอลล์ แต่ก็ให้ความเห็นในเชิงกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานเช่นเดียวกับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอื่น ๆ ของรัสเซีย ว่า:

“การโจมตีก่อการร้ายที่ โครคัส นั้นเป็นสิ่งที่หน่วยงานข่าวกรองชาติตะวันตกและยูเครนต้องการ(ให้เกิดขึ้น) เพื่อจะได้สร้างแรงสั่นสะเทือนและสร้างความตื่นตระหนกในสังคมรัสเซีย”

ทางการรัสเซียประกาศในวันอังคารเพื่อยืนยัน การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 11 คนที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตีที่ว่า โดยรวมถึงผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุ 4 คนด้วย

และหลังการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมด บัญชีเทเลแกรมที่สนับสนุนรัฐบาลรัสเซียก็เริ่มเผยแพร่คลิปวิดีโอและภาพที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ถูกควบคุมตัวไว้นั้นถูกทรมานอย่างไรบ้าง โดยวิดีโอชิ้นหนึ่งแสดงภาพการตัดหูของผู้ถูกคุมขังรายหนึ่ง ก่อนจะยัดเข้าปากของผู้ต้องหารายนั้น ขณะที่ คลิปวิดีโออีกชิ้นแสดงภาพการใช้ไฟฟ้าช็อตผู้ถูกคุมขังอีกรายหนึ่ง

ทั้งภาพและวิดีโอจากห้องพิจารณาคดีที่มีการนำตัวผู้ก่อเหตุมารับฟังการออกหมายจับก็แสดงให้เห็นร่องรอยของการถูกทรมาน โดยชายทั้ง 4 คนก็ต่างมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าด้วย

อย่างไรก็ตาม ยูเครนปฏิเสธคำกล่าวหาทั้งหมดของรัสเซีย และโต้กลับหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลายของรัสเซียว่า กำลังดำเนินปฏิบัติการชักธงหลอก (false flag operation) ด้วย

เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา หรือกว่า 2 สัปดาห์ก่อนจะเกิดเหตุยิงกราดนี้ สถานทูตสหรัฐฯ ในรัสเซียได้เตือนว่า มีภัยคุกคาม “จากแผนการณ์ของพวกลัทธิสุดโต่งที่จะโจมตีจุดที่มีการชุมนุมของผู้คนเป็นจำนวนมากในมอสโก ซึ่งรวมถึง งานคอนเสิร์ต ด้วย”

และ 3 วันก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็คือ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ปูติน ออกมาให้ความเป็นปฏิเสธคำเตือนของสหรัฐฯ ระหว่างร่วมประชุมกับหน่วยงาน FSB โดยกล่าวว่านี่ “คือ การแบล็คเมลอย่างซึ่ง ๆ หน้า และเป็นความจงใจที่จะข่มขู่และสั่นคลอนเสถียรภาพของสังคมเรา”

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุยิงกราดนั้น สหรัฐฯ ได้แบ่งปันข้อมูลกับหน่วยงานข่าวกรองของรัสเซีย โดยมีการระบุว่า กลุ่มรัฐอิสลามจังหวัดโคราซาน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มไอซิสที่มีปฏิบัติการอยู่ในอัฟกานิสถาน ปากีสถานและอิหร่าน มีแผนที่จะทำการโจมตีมอสโกอยู่ด้วย

  • ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ
XS
SM
MD
LG