สงครามในยูเครน ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 6 เดือน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ที่สะท้อนให้เห็นจากราคาสินค้าและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในเร็ว ๆ นี้
การบุกรุกยูเครนโดยรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และการตอบโต้ของกลุ่มประเทศตะวันตกโดยการบังคับใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่อรัสเซีย ได้ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร อันเกิดจากการปิดกั้นช่องทางการขนส่งปุ๋ยและข้าวสาลีออกจากยูเครนและรัสเซีย ส่งผลให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก แต่ถึงแม้ว่าจะมีการส่งออกปุ๋ยและข้าวสาลีอีกครั้ง แต่ก็ยังมีความกังวลว่า ภาวะข้าวยากหมากแพงจะนำไปสู่วิกฤติความหิวโหยและการก่อความวุ่นวายในประเทศกำลังพัฒนา ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ในประเทศยูกันดา เจ้าของร้านขายของชำอย่าง เรเชล กามิชา (Rachel Gamisha) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า ถึงแม้ยูเครนจะห่างไกลจากยูกันดา แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงผลกระทบของสงครามต่อราคาสินค้าจำเป็นที่ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ราคาน้ำมัน
กามิชากล่าวว่า เธอยังได้เห็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “shrinkflation” หรือภาพสะท้อนภาวะเงินเฟ้ออีกรูปแบบหนึ่ง หรือเงินเฟ้อซ่อนรูป ที่ผู้ผลิตขายสินค้าในราคาเท่าเดิมแต่ลดปริมาณหรือขนาดของสินค้าลง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund – IMF) ยังได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกลงอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งที่สี่ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี โดยไอเอ็มเอฟ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะโตเพียง 3.2% ในปีนี้ ปรับลดจากการคาดการณ์ 4.9% เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา และลดลงจากอัตราการเติบโต 6.1% ในปีที่ผ่านมาเช่นกัน
ปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูรินชาส์ (Pierre-Olivier Gourinchas) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนไอเอ็มเอฟกล่าวว่า ทั่วโลกอาจจะกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี หลังการเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ U.N. Development Program กล่าวว่า ราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นได้ทำให้ผู้คน 71 ล้านคนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะยากจนในช่วงเวลาสามเดือนแรกหลังจากรัสเซียบุกยูเครน โดยมีกลุ่มประเทศคาบสมุทรบอลข่านและประเทศในทวีปแอฟริกาที่อยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา เป็นผู้ที่ไดัรับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (U.N. Food and Agriculture Organization) ยังคาดการณ์ว่าจะมีผู้คนมากถึง 181 ล้านคนใน 41 ประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤติความหิวโหยในปีนี้
เศรษฐกิจโลกได้รับแรงกดดันอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครน โดยเกิดภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง หลังจากที่หลายประเทศฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเกิดจากการระบาดของโควิด-19 เร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทำให้โรงงาน ท่าเรือและท่าอากาศยานที่ทำหน้าที่ขนส่งสินค้าไม่สามารถรับมือกับความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความล่าช้าและการขาดแคลนสินค้าที่เกิดขึ้นทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูง ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต่างพากันขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่จะพยายามลดความร้อนแรงของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และจัดการกับราคาสินค้า
อย่างไรก็ตาม สงครามในยูเครน และการใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียที่ตามมา ยิ่งส่งผลเสียต่อการซื้อขายอาหารและพลังงานของโลกมากขึ้น ทั้งนี้เพราะรัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติ ปุ๋ย และข้าวสาลีอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน ในขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรจากยูเครนนั้นก็เป็นอาหารของผู้บริโภคหลายล้านคนทั่วโลก
ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นได้ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกต้องหันมาปรับตัวในการจับจ่ายซื้อของและการใช้ชีวิต บางคนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่าพวกเขาต้องเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนซื้อ งดการรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือหางานพิเศษทำนอกเหนือจากงานประจำเพื่อเพิ่มรายได้ให้ทันรายจ่าย เป็นต้น
ส่วนผู้นำเข้าและส่งออกข้าวสาลี ที่ไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลี ถั่วลูกไก่ และถั่วเหลืองจากยูเครนได้นั้น ก็ต้องหันไปนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ ที่มีราคาแพงกว่า 10-15% เป็นต้น
ธนาคารกลางในหลายประเทศได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอการขึ้นราคาสินค้า แต่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ส่งผลกระทบต่อการกู้ยืมของครัวเรือน และกระทบต่อธุรกิจต่าง ๆ เช่นกัน
อดัม โพเซน (Adam Posen) ประธานของสถาบัน Peterson Institute for International Economics และอดีตผู้กำหนดนโยบายแห่งธนาคารกลางประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ยุโรปเผชิญความเสี่ยงและแรงกดดันที่จะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยมากกว่าประเทศรายได้สูงประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้เป็นเพราะทวีปยุโรปได้พึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ทำให้ยุโรปต้องต้องได้รับผลกระทบหนักหลังจากที่รัสเซียลดการปล่อยก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้ในการสร้างความอบอุ่นในครัวเรือน การผลิตกระแสไฟฟ้า และในโรงงานต่าง ๆ ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปได้เพิ่มขึ้น 15 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนที่รัสเซียบุกยูเครน
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายทางเศรษฐกิจนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับรัสเซียด้วยเช่นกัน โดยกองทุนไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะหดตัว 6% ในปีนี้ เซอร์เกย์ อเล็คซาเชนโก (Sergey Aleksashenko) นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่ายอดขายสินค้าปลีกของรัสเซียได้ลดลง 10% ในไตรมาสที่สองของปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เพราะชาวรัสเซียเองก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการจับจ่ายซื้อของด้วยเช่นกัน
ที่มา: AP