จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ ทะลุหลัก 1 ล้านคนเมื่อวันจันทร์ นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ในอเมริกาเมื่อเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 2020 รวมเวลาไม่ถึง 2 ปีครึ่ง
จำนวนดังกล่าวเทียบเท่ากับจำนวนคนอเมริกันผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองหรือ Civil War และสงครามโลกครั้งที่สองรวมกัน และเปรียบได้กับยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 หรือ 9/11 ติดต่อกัน 336 วัน นอกจากนี้ ยังเท่ากับประชากรของนครใหญ่สหรัฐฯ สองแห่งรวมกัน คือ นครบอสตันและนครพิตต์สเบิร์ก
ข้อมูลของผู้เสียชีวิตชี้ให้เห็นว่า 3 ใน 4 เป็นผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี โดยมีผู้ชายเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิง โดยประชากรผิวขาว คือ กลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด แต่กลุ่มประชากรผิวดำ กลุ่มผู้มีเชื้อสายละตินอเมริกา และชนพื้นเมืองอเมริกัน คือ กลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนผิวขาวเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อ
และแม้ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมือง แต่ประชาชนในเขตชนบทในพื้นที่ที่ต่อต้านการสวมหน้ากากและการฉีดวัคซีน ก็มีอัตราการเสียชีวิตในระดับสูงเช่นกัน
จำนวนผู้เสียชีวิตที่บันทึกไว้นี้อ้างอิงจากข้อมูลในมรณบัตรซึ่งรวบรวมโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม สูงกว่านี้มาก
จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ คือประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก แม้ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขต่างเชื่อว่า หลายประเทศ เช่น อินเดีย บราซิล และรัสเซีย อาจมีตัวเลขผู้เสียชีวิตมากกว่า เพียงแต่ไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากโควิดโดยเฉลี่ยวันละ 300 คน ลดลงจากระดับเฉลี่ยวันละ 3,400 คนเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดยจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เริ่มกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยวันละ 86,000 คน แต่ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดที่วันละกว่า 800,000 คนเมื่อช่วงต้นปีนี้
เมื่อสัปดาห์แล้ว ระฆังใหญ่ที่โบสถ์แห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตัน (Washington National Cathedral) ดังขึ้น 1,000 ครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละครั้งแสดงถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด 1,000 คน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 1 ล้านคน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งลดธงชาติครึ่งเสา และมีแถลงการณ์ว่า "ในฐานะประเทศ เราไม่ควรชินชากับความเจ็บปวดนี้ และเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด เราควรจดจำบรรดาผู้เสียชีวิตเหล่านี้ไว้"
- ที่มา: เอพี