ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าโอกาสของสงครามในยูเครนและความขัดแย้งทางทหารในยุโรป รวมทั้งมาตรการลงโทษต่างๆ ต่อรัสเซียจะส่งผลให้สินค้าเชื้อเพลิงด้านพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตามกลไกด้านอุปสงค์และอุปทานอาจช่วยให้ราคาเชื้อเพลิงดังกล่าวลดลงได้ในระยะกลาง
ขณะนี้รัสเซียเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก คือส่งออกน้ำมันวันละราว 4.5 ล้านบาร์เรลจากจำนวนน้ำมันที่ขายในตลาดโลกวันละประมาณ 100 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ตามข้อมูลจากคุณ Ed Hirs นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันที่ University of Houston และเป็นที่คาดกันว่าหากน้ำมันในตลาดโลกหายไปวันละ 1 ล้านบาร์เรลไม่ว่าจะเป็นเพราะจากสงคราม การคว่ำบาตร หรือจากความเสียหายต่อแหล่งผลิตน้ำมันก็ตามก็คาดว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 20 ถึง 25% ดังนั้นคุณ Ed Hirs จึงเชื่อว่าหากมีปัญหาเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันจากรัสเซียราคาน้ำมันขายปลีกก็อาจจะเพิ่มขึ้นแกลลอนละ 50 - 75 เซนต์หรือประมาณ 4 - 6.50 บาทต่อลิตรได้
เมื่อวันอังคาร ราคาน้ำมันดิบ Brent Crude ซึ่งมักใช้เป็นดัชนีสำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ที่กว่า 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลโดยเพิ่มขึ้นจากราคาไม่ถึง 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อต้นเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้นนี้เป็นผลจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งจากสถานการณ์ไม่แน่นอนต่างๆ ถึงแม้มาตรการลงโทษซึ่งสหรัฐฯ กับประเทศในยุโรปประกาศใช้กับรัสเซียนั้นจะมุ่งเป้าไปที่ธนาคารและผู้นำของรัสเซียเป็นอันดับแรกและยังไม่รวมถึงภาคพลังงานของรัสเซียด้วยซ้ำไป
และเมื่อวันอังคาร ประธานาธิบดีไบเดนได้เตือนว่ามาตรการลงโทษต่อรัสเซียอาจส่งผลกระทบต่อคนอเมริกันในแง่ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นได้ โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าการปกป้องเสรีภาพนั้นจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับชาวอเมริกันเช่นกันและเราจะต้องพูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อให้แน่ใจว่าความเจ็บปวดจากเรื่องนี้จะมุ่งเป้าไปที่เศรษฐกิจของรัสเซียเป็นหลักไม่ใช่ของสหรัฐฯ และว่าตนจะประสานงานกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อื่นๆ เพื่อลดผลกระทบเรื่องราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ดูจะตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในช่วงต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งขณะนั้นความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลกลดต่ำลงเนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์ทำให้ผู้คนอยู่กับบ้านและไม่ออกเดินทาง โดยในช่วงหนึ่งของเดือนเมษายน 2020 มีน้ำมันในตลาดโลกมากจนกระทั่งราคาน้ำมันติดลบ ซึ่งก็หมายถึงว่าผู้ผลิตน้ำมันต้องจ่ายเงินให้กับผู้ซื้อเพื่อการรับมอบน้ำมัน
ผลของภาวะน้ำมันล้นตลาดดังกล่าวทำให้มีการลดการผลิตน้ำมันลงอย่างมากเนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะน้ำมันนั้นสูงกว่าระดับราคาน้ำมันที่จะขายได้ ทำให้บริษัทน้ำมันหลายแห่งต้องระงับปฏิบัติการ และในขณะนี้ถึงแม้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้นแต่อาจารย์ Gregory Upton จาก Center for Energy Studies ของมหาวิทยาลัย Louisiana State University ได้ชี้ว่าการผลิตน้ำมันของโลกยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่เล็กน้อย ซึ่งเรื่องนี้ก็มีผลกดดันต่อราคาน้ำมันให้คงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตามอาจารย์ Gregory Upton อธิบายว่าหากมีการใช้มาตรการลงโทษต่อภาคการผลิตพลังงานของรัสเซียหรือขีดความสามารถในการผลิตของรัสเซียต้องลดลงจากสงครามในยูเครนและเป็นผลทำให้ราคาสินค้าพลังงานเหล่านี้ยิ่งสูงขึ้นแล้ว เรื่องดังกล่าวก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้บริษัทผู้ผลิตพลังงานของโลกกลับไปเริ่มการผลิตซึ่งเคยระงับไปในช่วงต้นของโควิด-19 อีกครั้งและกลไกตลาดดังกล่าวก็จะช่วยปรับราคาน้ำมันให้เกิดดุลยภาพ ซึ่งอาจารย์ Gregory Upton บอกว่าแม้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาน้ำมันขาดแคลนในระยะสั้นได้ก็ตามแต่ในระยะกลางแล้วอาจจะช่วยให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงได้