ธุรกิจเครื่องสำอางและแฟชั่นหรูราคาแพงเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหนุนให้ผู้ประกอบการประกาศปรับตัวเลขคาดการณ์รายได้และกำไรของปีนี้ขึ้นกันถ้วนหน้าแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าว รอยเตอร์
บริษัท เอสเต ลอเดอร์ (Estee Lauder) ปรับขึ้นตัวเลขประมาณการรายได้และกำไรของตนในวันพฤหัสบดี หลังพบว่า ยอดขายของตนในทุกภูมิภาคเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว ตามการฟื้นตัวของความต้องการผู้บริโภคมาสู่ระดับเดียวกับที่เคยบันทึกได้ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19
รายงานข่าวระบุว่า ยอดขายของ เอสเต ลอเดอร์ เพิ่มขึ้นมา 11%ในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ผู้บริโภคเดินหน้าจับจ่ายซื้อหาเครื่องสำอางเพื่อเตรียมออกไปพบปะผู้คนมากขึ้น หลังรัฐบาลต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ที่ทำให้ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รองพื้นของ เอสเต ลอเดอร์ และลิปสติก แมค พุ่งขึ้นอย่างมาก
นอกจากนั้น บริษัทเครื่องสำอางแห่งนี้ยังได้อานิสงก์จากการที่ร้านค้าปลีกต่างๆ ตามท้องถนนได้กลับมาเปิดร้านทำธุรกิจอีกครั้ง พร้อมๆ กับการที่สหรัฐฯ และอังกฤษอนุญาตให้สำนักงานทั้งหลายเปิดทำการได้เหมือนก่อนเกิดการระบาด อันมีผลให้ยอดขายจากทั้งสองตลาดนี้ดันยอดรวมในตลาดตะวันตกให้ขยายตัวขึ้นไปตามระเบียบ
ทั้งนี้ เอสเต ลอเดอร์ ยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบของต้นทุนสินค้าที่ปรับขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ตึงตัวในห่วงโซ่อุปทานโลกและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง
อย่างไรก็ดี ทางบริษัทคาดว่ายอดขายสุทธิในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 13%-16% จากตัวเลขประมาณการก่อนหน้าที่ 12%-15% พร้อมปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์กำไรของไตรมาสปัจจุบันเป็น 1.55-1.65 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ขณะเดียวกัน ราล์ฟ ลอเรน ธุรกิจแฟชั่นชั้นนำของสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นคาดการณ์รายได้ปีนี้ในวันพฤหัสบดีว่าจะขยายตัว 39%-41% เทียบกับตัวเลขประมาณการครั้งก่อนที่ 34%-36% หลังยอดขายของบริษัทในไตรมาสก่อนหน้าที่สิ้นสุดในวันที่ 25 ธันวาคม เพิ่มขึ้น 27% มาที่ 1,820 ล้านดอลลาร์ และรายได้รวมในตลาดอเมริกาเหนือและตลาดยุโรปพุ่ง 30% และ 47% ตามลำดับ
กลุ่มธุรกิจแฟชั่นหรูอื่นๆ ทั้ง บริษัท คาปรี โฮลดิ้งส์ (Capri Holdings) เจ้าของแบรนด์เวอร์ซาเช่ (Versace) และกลุ่ม แอลวีเอ็มเอ็ช (LVMH) รวมทั้งบริษัท พราด้า (Prada) ต่างรายงานว่า ยอดขายของตนในไตรมาสที่แล้วพุ่งสูงเกินกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 เพราะลูกค้าเริ่มออกมาจับจ่ายใช้เงินหาซื้อสินค้าแฟชั่นราคาแพงกัน หลังต้องอัดอั้นเนื่องจากคำสั่งล็อกดาวน์ในประเทศของตนมานาน
- ที่มา: รอยเตอร์