สำนักข่าว The Associated Press รายงานว่า สหรัฐฯ ออกมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ชาวจีนและฮ่องกงเพิ่มเติมอีก 24 คน ขณะที่จีนยังคงเดินหน้าปราบปรามการแสดงออกทางการเมืองในฮ่องกง ไม่นานก่อนที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันจะหารือกับจีนเป็นครั้งแรก
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุผ่านทางแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า มาตรการของทางสหรัฐฯ ครั้งนี้ สะท้อนถึง “ความกังวลอย่างยิ่ง” ของสหรัฐฯ ต่ออำนาจการปกครองตนเองของฮ่องกงที่ลดลง หลังสัปดาห์ที่แล้วมีการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งที่ทางการจีนแผ่นดินใหญ่ให้การรับรอง
กฎหมายดังกล่าวจะทำให้คณะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้งมีสัดส่วนลดลง ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อทางการจีนเท่านั้นที่จะเข้ารับตำแหน่งได้ และทำให้ฝ่ายค้านไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกระบวนการทางการเมืองได้
ทางกระทรวงต่างประเทศระบุว่า สถาบันการเงินต่างชาติที่ทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่จีนทั้ง 24 คน จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการลงโทษด้วยเช่นกัน
ท่าทีของสหรัฐฯ ครั้งนี้มีขึ้นขณะที่รัฐมนตรีบลิงเคน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน เดินทางเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยรัฐมนตรีทั้งสองจับตามองประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองของจีน
ทางด้านจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่า มาตรการลงโทษครั้งใหม่ของสหรัฐฯ นี้ “เปิดเผยเจตนาชั่วร้ายของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ขัดขวางฮ่องกง และเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงและการพัฒนาของจีน” และจีนจะใช้ “มาตรการรุนแรงตามเหมาะสมเพื่อปกป้องผลประโยชน์อธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนาของประเทศ”
ก่อนหน้านี้ที่กรุงโตเกียว รัฐมนตรีของสหรัฐฯ ทั้งสองคนออกแถลงการณ์ร่วมกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่น แสดงความห่วงใยถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน และแผนการเปลี่ยนสถานะของหมู่เกาะที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยของญี่ปุ่น แต่จีนอ้างกรรมสิทธ์เหนือหมู่เกาะดังกล่าว
ในวันพฤหัสบดี รมต.บลิงเคน และเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทำเนียบขาว มีกำหนดพบ หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน และหยาง เจียฉี หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เขตปกครองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา
เจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า ทางจีนและสหรัฐฯ จะไม่ออกแถลงการณ์ร่วมหลังการหารือดังกล่าว และคาดว่าจะไม่มีประกาศสำคัญใดๆ โดยสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หวังว่าการหารือครั้งนี้จะเป็นโอกาสหารือเบื้องต้นถึงความขัดแย้งด้านการค้า ประเด็นสิทธิมนุษยชนในทิเบต ฮ่องกง และซินเจียงอุยกูร์ และประเด็นการระบาดของโรคโควิด-19