ขณะที่การระบาดของโควิด-19 ยังดำเนินต่อไป นานาประเทศตัดสินใจเร่งดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุใหม่นี้
รัฐบาลประเทศสเปน ประกาศภาวะฉุกเฉินพร้อมดำเนินมาตรการเด็ดขาดดังเช่นในอิตาลี โดยเน้นการขอให้ผู้คนพยายามอยู่แต่ในที่พัก ขณะที่มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 340 คนและตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุ 9,000 คน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สเปนเป็นประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 หนักเป็นอันดับสองในยุโรป ในเวลานี้
นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชส ของสเปนยอมรับว่า มาตรการจำกัดพื้นที่นี้จะส่งผลหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนสหภาพแรงงานและนักธุรกิจทั้งหลายต่างออกมาแสดงความกังวลต่อสถานการณ์โดยรวม โดยเฉพาะเรื่องของการว่างงานในประเทศ หากวิกฤตินี้ลากยาวเป็นเวลาหลายเดือน
ที่อิตาลี ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 28,000 คน และมีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 2,100 คน แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งปิดเมืองทั่วประเทศไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ส่วนที่อิสราเอล นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ และประกาศใช้มาตราการใหม่ๆ ที่ผลในระดับเกือบปิดประเทศ เพื่อควบคุมการระบาด อาทิ การปิดโรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนและสถานบันเทิงเพิ่มเติม หลังสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศไปเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยอนุญาตให้เฉพาะร้านขายยาและซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น ที่ยังเปิดให้บริการได้ และห้ามไม่ให้มีการชุมนุมเกินกว่า 10 คน
นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู เรียกโควิด-19 ว่าเป็น “ศัตรูที่มองไม่เห็น” พร้อม ระบุด้วยว่า เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อสู้กับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ซึ่งรวมถึงมาตรการทางไซเบอร์ เพื่อติดตามตัวผู้ติดเชื้อ
ปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อในอิสราเอลกว่า 250 คน ขณะที่ผู้คนนับหมื่นคนถูกสั่งให้กักกันตัวเองเพื่อเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 2 สัปดาห์อยู่ในขณะนี้
รายงานข่าวระบุว่า ประเทศโคลอมเบีย ปานามาและอาร์เจนตินา ประกาศสั่งห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วเช่นกัน ขณะที่ ตุรกีสั่งปิดบาร์และไนท์คลับทั้งหมดเป็นการช่วยคราว
และที่แอฟริกาใต้ ประธานาธิบดี ซีริล รามาโฟซา ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ ประกาศภาวะภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อใช้อำนาจจากกฎหมายดังกล่าว ชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยระบุว่า จะมีการบูรณาการมาตรการรับมือภัยพิบัติต่างๆ เพื่อเน้นการป้องกันและลดการติดเชื้อ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลแอฟริกาใต้เพิ่งรับตัวพลเมืองของตนจำนวน 114 คนจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน พื้นที่ที่มีการระบาดครั้งแรก กลับมายังประเทศและดำเนินการกักตัวเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 3 สัปดาห์แม้ว่าผลทดสอบระบุว่าบางคนไม่ได้ติดเชื้อก็ตาม
ประธานาธิบดี รามาโฟซา ออกคำสั่งปิดชั้นเรียน และการชุมนุมที่มีคนร่วมมากกว่า 100 คน ตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป
นอกจากนั้น แอฟริกาใต้ยังสั่งห้ามการเดินทางมาจากประเทศพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น อิตาลี อิหร่าน เกาหลีใต้ สเปน เยอรมนี สหรัฐฯ อังกฤษและจีน
