หากพิจารณาจากจำนวนนักเรียนที่เข้าชมงานนิทรรศกาลที่จัดเเสดงเทคโนโลยีทันสมัยและการแสดงบนเวทีที่ศูนย์ประชุม Convention Center ในกรุงวอชิงตันเมื่อเร็วๆนี้ ก็น่าจะพูดได้ว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมกันไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ตัวเลขจากการสำรวจนักเรียนชาวอเมริกันมากกว่าหนึ่งล้านคน มีนักเรียนที่เรียนระดับมัธยมปลายเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่าสนใจทำงานในสาขาอาชีพนักวิทยาศาสตร์และนักวิศวกร
คุณ Larry Bock หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งงานเทศกาล USA Science and Engineering Festival กล่าวว่าสังคมอเมริกันผลิตบุคลากรที่คนทั่วไปชื่นชมคลั่งใคล้
เขากล่าวว่าคนอเมริกันคลั่งไคล้นักกีฬากับดารารักร้องนักแสดง สหรัฐผลิตคนที่ไฝ่ฝันอยากเป็นดารานักร้องมากมายก่ายกองแต่ไม่ผลิตนักวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์เพราะไม่มีใครคลั่งใคล้อาชีพเหล่านี้
คุณ Bock ช่วยจัดงานนิทรรศกาลวิทยาศาสตร์ประจำปีครั้งเเรกที่ San Diego ในรัฐ California เมื่อห้าปีที่แล้ว บรรดากลุ่มอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีชื่นชมความสำเร็จของงานเทศกาลครั้งนั้นเนื่องจากพวกเขาประสบปัญหาขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์และนักวิศวกรที่มีคุณสมบัติ
ในปีถัดมา คุณ Bock ร่วมมือกับ Ray O. Johnson แห่ง Lockheed-Martin จัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ระดับชาติขึ้น
คุณ Johnson กล่าวว่าการปรับให้วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยีและคณิคศาสตร์หรือที่เรียกรวมๆว่า STEM ให้เป็นเรื่องสนุกจะมีผลดีต่อเด็กๆในอนาคตอย่างแน่นอน
คุณ Johnson กล่าวว่ามั่นใจว่าภายในอีกสิบปี ยี่สิบปี นักเรียนเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ใหญ่และจะเข้าสู่สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกันมากขึ้น งานเทศกาลวิทยาศาสตร์ในวันนี้จะช่วยสร้างนักวิทยาศาสตร์และนักวิศวกรแก่สหรัฐในอนาคต
นักเรียนที่เข้าชมนิทรรศกาลวิทยาศาสตร์แห่งชาติครั้งล่าสุดได้ทำกิจกรรมที่เรียนรู้่จากการทดลองทำมากมายตั้งแต่การจำลองการเดินทางบนยานอวกาศ เครื่องพิมพ์หุ่นยนต์จนถึงได้ทดลองใช้งานเเขนและขาเทียม
นอกจากนี้ในงานยังจัดแสดงผลงานของนักเรียนที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆด้วย Andrea Li นักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์วัยรุ่นในงานบอกว่างานเทศกาลแบบนี้มีศักยภาพสูงในการช่วยส่งเสริมความสนใจด้านวิทยาศาสตร์แก่คนรุ่นใหม่ เธอบอกว่างานเทศกาลน่าตื่นเต้นมากเเละช่วยดึงดูดให้เยาวชนหันมาสนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกันมากขึ้น
ผู้จัดงานเทศกาลต่างหวังว่าความสำเร็จของงานเทศกาลวิทยาศาสตร์แห่งชาติในกรุงวอชิงตันครั้งนี้จะช่วยบันดาลใจให้มีการจัดงานในระดับภาคกันมากขึ้นทั่วสหรัฐเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดเเคลนนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในประเทศ
ไปที่เมือง Manassas รัฐ Virginia กัน คุณ Steve Wolf กำลังสาธิตการทำฉากเหตุระเิบิดสำหรับประกอบในภาพยนตร์
เขากล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเขามีความสุขที่ได้เห็นเด็กๆตื่นเต้นและอยากเรียนรู้
คุณ Wolf เป็นนักแสดงที่รับบทแสดงแทนหรือ stuntman มานานยี่สิบปี เขารับเเสดงบทอันตรายตั้งเเต่ถูกไฟเผา ถูกวางระเบิด คุณ Wolf ยังเป็นผู้ออกแบบ special effects ให้กับรายการโชว์ทางโทรทัศน์ดังๆหลายรายการ เขาบอกว่าชีวิตจริงของเขาไม่ได้อันตรายเหมือนอย่างที่เห็นในฉากประกอบภาพยนตร์
คุณ Wolf บอกว่าเขาใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในงานสร้างฉากพิเศษประกอบในภาพยนตร์ ภาพที่เห็นอาจจะนานเเค่อึดใจเดียวแต่ทีมงานต้องใช้เวลาถ่ายนานสามถึงสี่สัปดาห์เเล้วนำมาตัดต่อประกอบเข้าด้วยกันดังนั้นฉากในภาพยนตร์ที่คนดูเห็นว่าอันตราย จริงๆแล้วไม่อันตรายและอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆอย่างที่เห็น
คุณ Steve Wolf ต้องการแบ่งปันความรู้ด้านวิทยาศาสตร์นี้แก่เด็กๆและตัดสินใจก่อตั้งโครงการ Science in Movies เพื่อสาธิึตการใช้ความรู้ด้านฟิสิกส์และเคมีในงานสร้างฉากพิเศษประกอบภาพยนตร์แก่เด็กๆโดยหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เมื่อโตขึ้น
เขากล่าวว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขาเห็นรายงานข่าวที่ว่าการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ในสหรัฐด้อยคุณภาพลงและร่วงไปอยู่ต่ำกว่าอันดับที่ยี่สิบของโลก ตอนเป็นเด็ก เขาได้เห็นนักอวกาศสหรัฐเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ เขาไม่อยากเชื่อว่าการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐจะด้อยลงได้ถึงระดับนี้ นี่ทำให้เขาอยากมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้เด็กๆอเมริกันรักวิชาวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา คุณ Steve Wolf ได้ืำเดินทางไปสาธิตการทำฉากพิเศษประกอบภาพยนตร์ในโรงเรียนต่างๆและในเทศกาลวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมาแล้วถึงสี่พันครั้ง เขากล่าวว่าในการสาธิตนานหนึ่งชั่วโมง เขาได้สอนแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 100 อย่างที่เด็กๆควรรู้
นอกจากนี้ คุณ Steve Wolf ยังเขียนหนังสือเรื่องความลับทางวิทยาศาสตร์เบื้องหลังบทแสดงแทนและฉากพิเศษในภาพยนตร์อีกด้วย เขาบอกว่าหนังสือเล่มนี้อธิบายถึงการใช้ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในการทำฉากพิเศษในหนังที่ทั้งปลอดภัยและน่าตื่นเต้น
เขากล่าวปิดท้ายรายงานจากผู้สื่อข่าววีโอเอว่าการได้เรียนรู้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานเป็นจุดเริ่มตั้นที่สำคัญไม่ว่าเด็กๆอยากจะเป็นอะไรก็ตามเมื่อพวกเขาโตขึ้น
